InterContinental Khao Yai Resort

เปิดห้องสวีทสุดหรู ทั้งรีสอร์ตมีห้องเดียว‼️

🚂ดีไซน์ได้แรงบันดาลใจมาจากโบกี้รถไฟ

ที่ InterContinental เขาใหญ่🍃

_

เพื่อนรู้ ลูกเพจรู้ ทุกคนรู้!! ว่ากานต์เป็น Big Fan ของ Bill Bensley พ่อมดแห่งวงการออกแบบโรงแรม ความฝันเดียวคือการตามเก็บไนท์โรงแรม-รีสอร์ตที่บิลได้ออกแบบไว้ ซึ่งที่ผ่านมาก็ได้ไปรับประสบการณ์ใหม่มาแล้วหลายแห่ง ทั้งไทยและต่างประเทศ

ดังนั้น ผมจึงตื่นเต้นทุกครั้งกับการเปิดรีสอร์ตใหม่ๆ ที่มาจากการครีเอทของ Bensley Design Studios

“More is never enough. Dance first, think later.” เป็นประโยคที่บิลยึดถือมาโดยตลอด ผมว่าเขาไม่เคยมาเล่นๆ นะ ล่าสุด กับการเนรมิตที่ดินเขาใหญ่ซึ่งโอบล้อมด้วยภูเขานับร้อยไร่ ให้มีเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจย้อนกลับไปตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 ในฐานะที่ เขาใหญ่เป็นประตูสู่ภาคอีสาน โดยการเดินทางด้วยรถไฟ

สร้างความฮือฮาด้วยการขนเอาโบกี้รถไฟของจริง มารีโนเวทใหม่ให้เป็นวิลล่า สวีท พร้อมรางรถไฟที่จะนำพาเราไปพบกับประสบการณ์ใหม่ที่แสนตื่นเต้นและประทับใจ

แต่ว่าวิลล่าโบกี้รถไฟยังไม่เรียบร้อยครับ กำหนดการคือประมาณพฤศจิกายน ช่วงนี้เป็น Soft Opening เปิดห้องพักที่รีสอร์ตเรียกว่าเกสเฮ้าส์ มีด้วยกัน 3 อาคารคือ ปากช่อง ซับม่วงและบันไดม้า

กานต์ได้ไปพักที่ห้องสวีทพร้อมสระว่ายน้ำส่วนตัว ดีไซน์พิเศษเพราะทั้งรีสอร์ตจะมีห้อง Type นี้เพียงห้องเดียวเท่านั้น (ใครอยากจะพักห้องนี้ ผมแนะนำว่าอาจจะต้องจองล่วงหน้านานหน่อยนะครับ)

ความเก๋ของห้องสวีทนี้นอกจากจะดีไซน์เป็นโบกี้รถไฟแล้ว ยังมีห้องนั่งเล่นขนาดใหญ่ที่แยกตัวออกไปต่างหาก ต้องเดินผ่านโถงทางเดินส่วนตัวเข้าไป ตัวห้องวางเบาะทรงครึ่งวงกลมเอาไว้ใหญ่มาก มาพร้อมกับระเบียงนั่งเล่นและสระว่ายน้ำในตัวพร้อมวิวทะเลสาบ มองเห็นน้องหงส์ขาวหงส์ดำกำลังเริงร่า

คอนเซปต์ขอInterContinental Khao Yai Resortrt ได้รับแรงบันดาลใจมาจากประวัติศาสตร์ของไทย เรื่องราวการขนส่งทางรถไฟสู่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตั้งแต่ในสมัยรัชกาลที่ 5 ได้กลิ่นอายสุดโรแมนติกของการเดินทางด้วยรถไฟสุดหรูสู่ใจกลางอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่

มีการตกแต่งภายในแต่ละห้องที่ไม่มีเหมือนกัน ตั้งชื่อห้องตามจุดหมายปลายทางต่างๆ ที่รถไฟวิ่งไป ไม่ว่าจะเป็น เชียงราย ขอนแก่น เรื่อยไปจนถึงศรีลังกา อินเดีย กัวลาลัมเปอร์ สิงคโปร์ ย่างกุ้ง หลวงพระบาง ไซ่ง่อน พนมเปญและสิงคโปร์

สตอรี่ของรีสอร์ตจึงมีที่มาจาก “นายสมศักดิ์” กับความสัมพันธ์ของเขาที่มีต่อสถานีรถไฟเขาใหญ่ เพราะตั้งแต่วัยเด็กเขาหลงใหลในฟีลลิ่งของรถไฟ เขาเป็นทั้งคนเก็บตั๋ว เด็กเดินรถและเป็นนายสถานี เพื่อที่จะบอกเล่าเรื่องราวความทรงจำของเขาที่มีต่อรถไฟ ดังนั้น ภายในรีสอร์ตจะมีพนักงานประจำสถานีคอยทำหน้าที่นำเราเดินทางสำรวจโลก ท่องเที่ยวไปยังที่ต่างๆ (คอสตูมแต่ละแผนกน่ารักมากครับ ชอบเสื้อกั๊กสีเขียวสุดๆ)

รีสอร์ตมีห้องพักและสวีท 45 ห้องและวิลล่า สวีทโบกี้รถไฟอีก 19 ห้อง ไฮไลท์คือตรงนี้ เพราะเป็นห้องสวีทที่อยู่ภายในตู้โบกี้รถไฟของจริงจากทั่วไทย มาปรับปรุงเปลี่ยนแปลงใหม่ให้กลายเป็นห้องพักสุดหรู แต่ละโบกี้ (ห้องสวีท) ก็จะเป็นตัวแทนของจุดหมายปลายทางที่แตกต่างกันไป บางห้องมีอ่างอาบน้ำกลางแจ้งท่ามกลางธรรมชาติเขาใหญ่ ซึ่งเป็นซิกเนเจอร์ของ Bill Bensley ที่ขาดไม่ได้ไปเสียแล้วสำหรับการออกแบบในระยะหลังนี้ รายละเอียดอื่นๆ ของสวีทโบกี้รถไฟขออนุญาตยังไม่เล่า แต่รับรองว่าน่าสนใจสุดๆ

ความครีเอทยังไม่จบเพียงเท่านี้ เมื่อมาถึงชานชาลาสถานีที่ตั้งอยู่กลางป่า ให้อารมณ์สถานีรถไฟในต่างจังหวัดจริงๆ ผู้เข้าพักจะได้รับตั๋วรถไฟทำหน้าที่เป็นบอร์ดดิ้งพาสและมีป้ายติดสัมภาระดีไซน์พิเศษให้อีกด้วย

รีสอร์ตมีห้องอาหารประจำสถานีชื่อว่า “ครัวสมศรี” (ตั้งตามชื่อแม่ของสมศักดิ์) ตัวห้องอาหารจะตั้งอยู่ริมทะเลสาบ สวยเว่อร์มาก ตกแต่งโทนสีน้ำเงินลงดีเทลดีสุดๆ ใกล้กันยังมีสระว่ายน้ำและพูลบาร์ที่ดีไซน์มาจากหัวรถจักรโบราณ มันเก๋มาก Tea Carriage ตั้งอยู่ในตู้รถไฟแบบ Upcycle ที่ริมทะเลสาบ ส่วนร้านอาหารฝรั่งเศสยังไม่เสร็จเรียบร้อยดีครับ

นอกจากนี้ ยังจะมี Kids’ club สำหรับเด็ก มีสนามหญ้าเป็นลานกว้างสำหรับจัดงานแต่งแบบใกล้ชิดธรรมชาติด้วย ทำให้ที่นี่น่าจะเป็นรีสอร์ตที่น่าสนใจสำหรับคู่รักฮันนีมูนอีกแห่งหนึ่งของโลก

Bill เล่าว่า การออกแบบโรงแรมเปรียบได้กับการผลิตภาพยนตร์ฮอลลีวูดเพราะทั้งโรงแรมและภาพยนตร์ต่างก็ต้องการเรื่องราวที่น่าสนใจ เขาจึงได้พัฒนา DNA ที่ไม่เหมือนใครซึ่งมีอิทธิพลต่อทุกสิ่ง ทั้งการออกแบบ สถาปัตยกรรมของบ้านตลอดจนการออกแบบช้อนชา นั่นคือกุญแจสู่ความสำเร็จ

งาน Upcycling ดูจะเป็นความท้าทายให้กับพ่อมดแห่งวงการออกแบบโรงแรมเป็นอย่างมาก ที่จะต้องเนรมิตผืนผ้าใบสีขาวท่ามกลางป่าเขาใหญ่สีเขียว ให้เป็นเรื่องราวเดี่ยวที่น่าสนใจ โดยโจทย์ใหญ่ที่สำคัญอีกข้อคือต้องไม่สร้างความเสียหายแก่ผืนป่าและธรรมชาติที่สวยงามแห่งนี้

Bill ยังบอกอีกว่า ตอนนี้หมดยุคที่นักเดินทางจะต้องเจอกับการ์ดเล็กๆ ในห้องที่ขอให้พวกเขาใช้ผ้าเช็ดตัวซ้ำ ผู้บริโภคต่างคาดหวังและต้องการมากขึ้น แต่สำหรับเขาแล้ว ความยั่งยืนยังรวมถึงแนวคิดง่ายๆ เช่น Upcycling การใช้แสงธรรมชาติ การวางแนวอาคารอัจฉริยะ และการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ เป็นต้น

เพราะความหรูหราสำหรับเขาจะไม่ใช่แค่โรงแรมมีดอกไม้มากมายและผ้าปูที่นอนที่มีจำนวนเส้นด้ายสูง แต่ต้องทำหน้าที่อย่างเต็มที่ในการปกป้องสิ่งแวดล้อม ดังนั้น การมอบประสบการณ์ใหม่ๆ ให้กับผู้เข้าพักจึงเป็นเรื่องที่น่าสนใจ

จากนี้ไปเสียงก้องของเหล็กกระทบรางและเสียงหวูดของหัวรถจักร จะดังไปทั่วเขาใหญ่เพราะได้ข่าวว่าวันหยุดสุดสัปดาห์ห้องพักถูกจองเต็มตลอดเลยครับ

ส่วนอีก 2 เดือนข้างหน้า ผมจะกลับไปที่นี่อีกครั้งเพื่อรับประสบการณ์ใหม่จากวิลล่าสวีทในโบกี้รถไฟ คงเป็นอะไรที่ตื่นเต้นมาก อย่าลืมติดตามนะครับ

ทริปนี้ ผมพาเที่ยวเขาใหญ่ด้วยรถไฟครับ อ๊ะ! อย่าเพิ่งงง เพราะเป็นคอนเซ็ปต์ของรีสอร์ตเขา

เราไปพักผ่อนกันที่ InterContinental Khao Yai Resort

รีสอร์ตตั้งอยู่บนที่ดินส่วนหนึ่งของโครงการ Swan Lake ที่มีความโดดเด่นด้วยต้นไม้กลายเป็นผืนป่าขนาดใหญ่และมีสระน้ำรายล้อม

คอนเซ็ปต์ของรีสอร์ตคือการเดินทางด้วยรถไฟสมัยรัชกาลที่ 5 ดังนั้น ห้องพักทุกห้องจึงออกแบบและตกแต่งเป็นขบวนรถไฟหรูที่มีดีไซน์แตกต่างกันไป

ถ้าพร้อมแล้ว ไปเก็บกระเป๋าเสื้อผ้าแล้วเจอกันที่ห้องขายตั๋วรถไฟนะครับ

InterContinental Khao Yai Resort ออกแบบเป็นอาคาร 2 ชั้น เตี้ยๆ เหมือนบ้าน เพื่อจะได้กลมกลืนกับบริบทครับ ตั้งอยู่ในโครงการ Swan Lake แต่แยกโซนออกมาเพื่อความเป็นส่วนตัว

ห้องพักมีทั้งแบบในอาคารและเป็นวิลล่า สวีทในโบกี้รถไฟของจริง

ช่วงนี้เป็น Soft Opening รีสอร์ตเปิดให้พักเฉพาะที่ห้องพักในอาคารก่อนนะครับ มีด้วยกัน 3 อาคาร เรียกว่า เกสเฮ้าส์ เหมือนเราเดินทางไปค้างอ้างแรมเลยครับ ผมพักที่ปากช่องเกสเฮ้าส์ ห้องที่หัวมุมที่หักเหลี่ยมตึกไปนั่นแหละครับ

เอาล่ะ มาถึงชานชาลาก็ต้องมาถ่ายรูปกันก่อนเป็นจุดดรอปกระเป๋าเก๋ๆ ดูวินเทจดีมากครับ คอสตูมต้องพร้อมนะ

จากนั้น พนักงานสถานีจะพาเราไปที่ชานชาลา เพื่อรอเช็คอิน เป็นอาคารไม้ชั้นเดียวกลางป่า ให้อารมณ์สถานีรถไฟในต่างจังหวัดมากๆ เลยครับ

ตัวอาคารออกแบบได้เก๋มาก ผลงานของ Bill Bensley ซึ่งผมเป็นแฟนตัวยงของเขาอยู่ ทุกรีสอร์ตที่เขาออกแบบจะมีเสน่ห์บางอย่างที่น่าจดจำ ที่สำคัญคือการลงรายละเอียดของงานดีไซน์ที่ลงทุนทำพร็อพประกอบมาเพื่อตกแต่งแบบเหมือนจริงมากๆ เลยครับ

ห้องด้านหลังชานชาลาที่เรามาเช็คอิน ให้นั่งเล่นรอได้ เป็นแบบเปิดโล่งบรรยากาศสบายๆ ครับ

ด้านหน้ามีม้านั่งแบบเดียวกับชานชาลาสถานีรถไฟสมัยก่อน การตกแต่งคือถ้าไม่บอกก็ไม่รู้ว่าเป็นของใหม่นำมาทำให้เก่า มันดูเฮอริเทจสมจริงมากครับ

ยกมือขึ้นมาปุ๊กกี้กัน!! …

นั่นมันชาลาลา ลาลา!!

ยกแรกก็ประทับใจแล้วครับ สำหรับการออกแบบ

นายสถานีลั่นระฆังแล้ว เราจะออกเดินทางกันต่อนะครับ

เข้าไปยังห้องพักกันบ้าง มีด้วยกัน 3 อาคาร ที่นี่จะเรียกว่าเป็นเกสเฮ้าส์ ชื่อ ปากช่อง ซับม่วง และบันไดม้า ผมพักที่อาคารแรกเลยครับ

ภายในโถงทางเดินยังตกแต่งลงรายละเอียดได้ดีสุดๆ มีแผนที่การเดินทางแบบโบราณซึ่งวาดด้วยปากกาประดับฝาผนังเอาไว้ รายละเอียดดีสุดๆ ฟีลลิ่งดีมาก ทำให้เรารู้สึกตื่นเต้นตลอดเวลา

ผมพักห้องนี้นะครับ เป็นห้องดีไซน์พิเศษไม่เหมือนใคร

เมื่อเปิดประตูจะพบ Foyer ภายในห้องก่อนจะเข้าไปด้านใน ให้ความรู้สึกแคบๆ เบียดๆ เหมือนเดินอยู่ในโบกี้รถไฟจริงๆ

ด้านหน้าจะเป็นโซนแต่งตัว เราจะวางกระเป๋าไว้ตรงนี้ ทริปนี้ผมหยิบน้ำหอมแบรนด์โปรด Byredo มาด้วยครับ กลิ่น Blanche หอมอ่อนๆ เหมือนอาบน้ำมาใหม่ๆ ตลอดเวลา

จากห้องแต่งตัว เดินเลี้ยวซ้ายเข้ามาด้านใน จะพบกับความโอ่โถงของห้องนอนซึ่งใหญ่มาก ตกแต่งเหมือนกับโบกี้รถไฟยังคงคุมตีมได้ดี

ภายในสวยมาก อยากจะตะโกนดังๆ งานอินทิเรียคือดี มีแผนที่ตกแต่ง ภาพถ่ายโบราณ งานฉลุลายที่หัวเตียงคือดีเทลสุดๆ

ห้องนี้เฉพาะเอาไว้นอนเท่านั้น แยกส่วนพักผ่อนนั่งเล่นไปอีกจุด

หัวเตียงมีโทรศัพท์ทรงวินเทจวางไว้ ใช้งานได้จริง รอบๆ เตียงเป็นกระจกลายกระๆ คล้ายกระจกเก่า

ด้านในมีมุมนั่งเล่นภายในห้องนอน เป็นเบาะหนังสีเหลืองพร้อมหมอนที่สกรีนลายรถไฟ สามารถเปิดประตูออกไปนั่งเล่นที่ระเบียงได้ ห้องนี้จะไม่มีทีวีภายในห้องนะครับ

ระเบียงด้านนอก นั่งพักผ่อนสบายๆ มองไปเห็นแต่ต้นไม้ครึ้มเต็มไปหมด รู้สึกสงบเงียบดีมาก เหมาะแก่การมาพักกายพักใจ

GM เขียนการ์ดต้อนรับเอาไว้พร้อมขนม แต่ที่ต้องชมคือเซ็ตจานชามสั่งทำขึ้นมาใหม่ สกรีนโลโก้ทรงวินเทจ ผมเป็นคนที่แพ้ดีเทลกระจุกกระจิกพวกนี้เสียด้วย ไม่เว้นแม้กระทั่งผ้าเช็ดปากยังปักลายโลโก้ ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ในห้องอาหารอารมณ์เหมือนเมธาวลัย ศรทอง ประมาณนี้

ตรงกลางระหว่างห้องนอนกับห้องนั่งเล่นจะเป็นห้องน้ำ ซึ่งเชื่อมต่อกับโถงทางเดินด้านหน้าที่มีห้องแต่งตัวอยู่ อ่างล้างมือเป็นหินอ่อนสีดำทรงกลมเข้ากันดีกับกระจกเงาไม้สีน้ำตาลบานใหญ่แบบ His & Her การตกแต่งลวดลายดูเฮอริเทจ โดยเฉพาะงานกระเบื้องดูย้อนยุคสุดๆ

หันหลังจากหน้ากระจกจะเป็นอ่างอาบน้ำติดผนัง พร้อมกับชาวเวอร์ด้านใน

Amenities เหมือนรู้ ว่าใช้แบรนด์นี้อยู่ คือ Byerdo ซึ่งผมว๊าวมาก เพราะชอบกลิ่นของน้ำหอมแบรนด์นี้แทบทุกตัว มันมีความ Complex ดี

ข้อแรกที่ทำให้แปลกใจคือ

1. น่าจะเป็นรีสอร์ตแรกและรีสอร์ตเดียวในไทยที่ใช้แบรนด์นี้
2. ผิดไปจากที่อินเตอร์คอนฯ ทั่วไป ซึ่งปกติจะมีแบรนด์มีเบลนด์กลิ่นพิเศษเฉพาะอินเตอร์คอนฯ เอง

แต่ที่แน่ๆ อาบน้ำหนึ่งวันหอมไป 3 วัน มันสดชื่นมาก

ด้านในสุดตรงทางเข้าห้องจะเป็นส่วนของสุขา มีขนาดไม่ใหญ่ มาพร้อมอ่างล้างมืดสเตนเลส ให้ความรู้สึกเหมือนเข้าห้องน้ำในรถไฟดีนะ

ความพิเศษของห้องนี้คือเลย์เอ้าท์ที่แตกต่างเพราะมีห้องนั่งเล่นแยกตัวออกไปจากห้องนอน ต้องเดินผ่านโถงทางเดินแคบๆ ให้อารมณ์เหมือนเดินข้ามโบกี้ เมื่อเข้ามาถึงด้านในพบว่าเป็นห้องนั่งเล่นที่มีขนาดใหญ่มว๊ากกกกกกก

การจัดวางฟังก์ชั่นภายในจะดูขบถเล็กน้อยไม่เหมือนใครตามสไตล์คนออกแบบ วางตู้มินิบาร์ ซึ่งให้อารมณ์ตู้กับข้าว เอาไว้ด้านนอกพร้อมกับตู้เย็นหน้าบานเป็นไม้

ส่วนด้านในมีตู้เตี้ย ๆ เอาไว้วางของ วางโทรศัพท์ แต่ตอนนี้รีสอร์ตวางของว่างเป็น Welcome ให้ผมเยอะมากเลยครับ

ความเก๋และดีเทลก็คือ ป้ายบอกสถานีแบบที่ในชานชาลา ติดอยู่ข้างฝา

เปิดออกมามันคือทีวี!! ฝังอยู่ด้านใน OMG ยอมพ่อแล้ว ณ จุดนี้

ด้านนอกเป็นระเบีนงนั่งเล่นอีกจุดหนึ่งครับ มาพร้อมกับระเบียงเหล็กสีเขียวเข้ากับบริบทดี ไปนั่งแล้วก็รู้สึกสบายใจรับลมเย็นๆ เพราะเป็นอาคารที่อยู่บนเนินไม่ได้ติดถนนครับ

ภายนอกติดตั้งอ่างขนาดไม่ใหญ่ เหมาะสำหรับแช่ตัวสบายๆ ชมวิวรีสอร์ตไป ซึ่งชั้นบนก็จะเป็นห้องที่เลย์เอ้าท์เหมือนกัน เพียงแต่จะไม่มีอ่างครับ

เป็นห้องที่ให้ความเป็นส่วนตัวในการพักผ่อน ชมวิวสีเขียวของต้นไม้ จิบอะไรเบาๆ เย็นๆ เป็นการมาเขาใหญ่ที่ได้ฟีลสบายๆ มากครับ

จากห้อง มองลงมาจะเห็นสระขนาดใหญ่ มีอาคารที่ตั้งอยู่ริมสระด้วย ซึ่งอยู่ด้านใน เอกลักษณ์ของสระที่นี่คือมีน้องหงส์ ทั้งสีขาวและสีดำ ว่ายน้ำไปมาครับ

เอาล่ะ เราไปเดินสำรวจรอบๆ รีสอร์ตกันต่อดีกว่าครับ ซื้อตั๋วเพื่อไปยังสถานีต่อไป

ทางเดินภายในรีสอร์ตร่มรื่นมาก มีต้นไม้น้อยใหญ่ ทั้งตามธรรมชาติและลงใหม่ ซึ่งลงต้นไม้ไว้ก่อนสร้างรีสอร์ตนะครับ หลายหมื่นต้นเลยทีเดียว ทำให้ต้นไม้กลายเป็นส่วนหนึ่งของแลนด์สเคปแบบเนียนๆ

อาคารที่พักจะอยู่ท่ามกลางต้นไม้อย่างกลมกลืนทั้งดีไซน์ วัสดุและการเลือกใช้สี มีความโคโลเนียลเล็กๆ

ด้านในสุดจะเป็นห้องอาหารครัวสมหญิง ซึ่งเป็น All day dining ครับ ชอบการเลือกใช้เสาหินให้ความรู้สึกวินเทจดี

ภายในตกแต่งด้วยโทนสีน้ำเงินเข้ม สลับกับสีฟ้าและสีขาว เป็นสีโทนเย็นเข้ากันดีกับสีเขียวของต้นไม้ภายนอก เป็นห้องที่มีกระจกรายล้อมรอบและมีที่นั่งรับลมเย็นๆ ริมสระด้านนอกให้เลือกด้วยครับ

ตกค่ำขออนุญาตเลือกนั่งด้านในดีกว่า ห้องปรับอากาศเย็นสบายในวันฝนตก พร้อมกับเมนูอาหารไทยและเวสเทิร์นให้เลือก

ผมชอบทานอาหารไทยเลยสั่งอะไรที่ชอบและเป็น Signature ของห้องอาคาร โดยเฉพาะผัดหมี่โคราชอร่อยมาก ส่วนของหวานดีทุกตัวเลยครับ ชอบแอปเปิ้ลทาร์ตเป็นพิเศษ ทานคู่กับไอศกรีมเข้ากันดีมาก

ใกล้กันเป็นสระว่ายน้ำและพูลบาร์ เหมาะแก่การมานั่งดื่มช่วงเย็นๆ อากาศดีมาก

ภายในตกแต่งสวยดี ผมชอบการเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์เก่าๆ ที่ดูแล้วเข้ากันดี เช่นโต๊ะเป็นแผงวงจรแล้วนำมาเชื่อมขาเหล็ก ท๊อปด้วยกระจกอีกที มันเก๋กู๊ดมาก

มานั่งบาร์ หรือบาร์เบอร์ เอาดีๆ

กลับสู่เกสเฮ้าส์ของเราดีกว่า กลางคืนเปิดไฟสีวอร์ม สวยคลาสสิคมากครับ

อาคารชานชาลาเวลาค่ำคืนก็สวยไม่แพ้กัน เป็นอีกรีสอร์ตที่ถ่ายรูปสนุกมาก

ตอนเช้าๆ อากาศดี มีหมอกบางๆ รู้สึกถึงความเงียบสงบที่เราไม่ค่อยได้พบเจอนักหากอยู่เมืองหลวง

ตอนเช้าๆ ต้องฟิตกันสักหน่อย ที่นี่มีกิจกรรมเพื่อสุขภาพเยอะมากครับ ทั้งฟินเนสในร่มวิวทะเลสาบ วิ่งออกกำลังกายในสวนกลางแจ้ง โยคะ ปั่นจักรยาน เหมาะแก่การมาพักผ่อนและรีทรีตไปในตัว

ออกกำลังกายมาเหนื่อยๆ ขออาบน้ำก่อนนะครับ เดี๋ยวจะพาไปทานอาหารเช้ากัน

ห้องอาหารเช้าก็คือที่ครัวสมหญิงครับ เราไปวันธรรมดาจะไม่มีไลน์บุฟเฟต์ แต่ได้ข่าวว่าเสาร์-อาทิตย์ไลน์อาหารจัดเต็มดีอยู่นะ

พนักงานเริ่มจากการนำขนมปังมาเสิร์ฟพร้อมแยมและเนยทรัฟเฟิล ขนมปังกับเนยอร่อยมาก ซัดคนเดียวหมดเลย 3 แผ่น

อาหารเช้ามีให้เลือกหลากหลาย ทั้งอาหารไทยและเมนูสุขภาพประจำวัน ผมลองสั่งมาทานหลายๆ แบบแชร์กัน ทั้งเมนูชื่อวิตามิน สกินแคร์ อะซาอิโบลว์ แต่สรุปว่า ข้าวต้มกุ้ง อร่อยสุด!! 555

ตอนบ่ายก่อนกลับเราไปนั่งเล่นที่ Tea Carriage เป็นโรงน้ำชาในโบกี้รถไฟได้วิวทะเลสาบ ซึ่งมองเห็นมาตั้งแต่ในห้องพัก ตอนนี้เปิดให้บริการเฉพาะแขกของรีสอร์ตเท่านั้นครับ

ด้านในตกแต่งสวยดี เป็นที่นั่งริมผนังเหมือนโบกี้ หันหน้าออกไปยังวิวทะเลสาบด้านนอก

มีให้เลือกทั้งชา กาแฟ เหมือนร้านน้ำชาทั่วไป แต่ได้บรรยากาศของการจิบชาบนรถไฟที่เก๋กว่า

ผมสั่งเป็นชาสมุนไพรมาลองจิบ

มีกาแฟดริปด้วยนะครับ ใช้เครื่องบดมือเพื่อความเก๋ มีบาริสต้ามาดริปให้ถึงที่โต๊ะ จำแหล่งที่มาของกาแฟไม่ได้ แต่เมล็ดที่เลือกให้ฟรุ๊ตตี้นิดๆ จิบในวันฝนตกช่วงบ่ายก็ได้ฟีลดีอยู่นะ

เสิร์ฟพร้อมขนมหวานและ Savoury ผมชอบขนมที่นี่ทุกตัวเลย โดยเฉพาะข้าวเหนียวมะม่วงที่อัดลงมาในทาร์ตช็อคโกแลตอร่อยมาก สโกนก็ดีครับ หอมเนยเนื้อแน่นใน จิบพร้อมชาก็คล่องคอดี

ปิดท้ายการพักผ่อนด้วยที่ Tea Carriage ผมตั้งใจว่าจะกลับมาที่ InterContinental Khao Yai อีกครั้งในอีกประมาณ 2 เดือนข้างหน้า ช่วงเวลาที่ห้องสวีทโบกี้รถไฟเปิดให้บริการครับ

หากชอบโพสต์นี้ฝากกดไลค์ กดแชร์เพื่อแบ่งปันเรื่องราวดีๆ แบบนี้ให้ด้วยนะครับ

KΔNT
KΔNT

อดีตผู้ประกาศข่าวสายเศรษฐกิจ เจ้าของเพจ KANT.CO.TH ชื่นชอบในไลฟ์สไตล์ การท่องเที่ยวพักผ่อน ในโรงแรมหรู สนใจเรื่องราวงานดีไซน์ อสังหา การตลาด การลงทุน