Capella Bangkok

ไปพักที่ Capella โรงแรมหรูริมเจ้าพระยา

จ่าย 17,500++ ได้เครดิตเงินคืน 17,500 บาท

เหมือน #คืนนี้นอนฟรี กานต์ว่าโปรนี้ป๋าสุด‼️

_

คงไม่ต้องบรรยายอะไรกันมาก สำหรับการเข้าพักที่โรงแรม Capella Bangkok ว่ามันหรูหราแค่ไหน รอบนี้ผมหนีมาใช้โปรสุดปังที่ได้จากบัตรเครดิต ttb reserve ในการจองห้องพัก มานอนเล่นเปลี่ยนบรรยากาศ 1 คืน ชิลล์ๆ ใกล้บ้าน ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งยังคงประทับใจเหมือนเคยครับ

แต่ที่อยากเล่าคือเอกสิทธิ์สุด Exclusive ที่ผมได้มาจากบัตรเครดิต ttb reserve มากกว่าเป็นโปร Luxurious Staycation ถ้าจองห้องพักประเภท “Riverfront” คืนละ 17,500++ บาท เราจะได้รับเป็นเครดิตโรงแรมและบัตรกำนัลเงินสดรวมมูลค่า 17,500 บาท แทบจะเรียกได้ว่านอนฟรีแล้วนะครับเนี่ย พร้อมกันนี้ยังมี Benefits อื่นๆ ที่พิเศษมากขึ้นกว่าทั่วไป ผมว่า #เป็นโปรที่ใจป๋ามากเลยฮะ

เดี๋ยวผมจะค่อยๆ เล่าไปในแต่ละแคปชั่นว่าความพิเศษสุด Exclusive ที่ได้รับจากการจองผ่านบัตรเครดิต ttb reserve ซึ่งจองได้ทั้งบัตร Infinite และ Signature ที่นอกเหนือจากเครดิตเงินคืนนั้นมีอะไรบ้าง แต่ถ้าใครอยากรู้เลยทันที คลิกไปอ่านก่อนที่นี่ก่อนได้เลยครับ www.ttbbank.com/ttbreserve รับรองว่าคุ้ม!! รีบจองก่อนหมดเขตนะครับ

#ttbreserve#CapellaBangkok#KANT

จะเกิดอะไรขึ้น เมื่อบัตรเครดิต ttb reserve ออกโปรร่วมกับโรงแรมหรูริมแม่น้ำเจ้าพระยา Capella ผมว่าเป็นโปรที่น่าติดตามมากครับ เพราะเหมือนกับได้นอนฟรี!!

ชมวิวพระอาทิตย์ตกแบบนี้จากในห้องพักเลยครับ

“คาเพลลา” (Capella) เป็นแบรนด์โรงแรมอันดับต้นๆ ที่คนดังระดับโลก ไม่ว่าจะเป็น โดนัลด์ ทรัมป์ มาดอนน่า เลดี้ กาก้าฯ เลือกมาใช้บริการครับ

สำหรับกรุงเทพฯ ตั้งอยู่บนถนน “เจริญกรุง” ริมแม่น้ำแห่งมหานคร ทอดยาวไปตามแนวแม่น้ำเจ้าพระยา ห้องพักเป็นรูปแบบวิลล่าและห้องสวีท รวมทั้งสิ้น 101 ห้อง

ผมพักห้อง Riverfront Premier ชั้น 10 วิวสวยมาก มองเห็นเวิ้งน้ำเจ้าพระยายาวตั้งแต่สะพานกรุงเทพจรดตากสิน เป็นโมเมนต์ที่งดงามเฉพาะยามอาทิตย์อัสดง ยังคงเป็นภาพแห่งความประทับใจครับ

ใครอยากได้โปรสุดปัง ฟังทางนี้!! เริ่มจากการโทรไปสำรองห้องพักก่อนนะครับ ที่เบอร์โทร 02-098-3878

หรือ E-mail: reservations.Bangkok@capellahotels.com

หรือจองผ่าน ttb reserve line ก็ได้ โทรไปที่เบอร์ 02-010-1428

โดยจะต้องชำระค่าห้องพักกับทางโรงแรมด้วยบัตรเครดิต ttb reserve เท่านั้นนะครับ จากนั้น เมื่อได้รับยืนยันการเข้าพักแล้วก็ลากกระเป๋ามา Luxurious Staycation กันให้สบายใจ

ครั้งนี้ คุณโพนี่ Capella Culturist มาเป็นคนต้อนรับและดูแลผมก่อนเข้าพักครับ เช่นเคย แขกของ Capella Bangkok จะเช็คอินที่ Living Room ซึ่งเป็นพื้นที่สงวนไว้สำหรับแขกที่เข้าพักเท่านั้น

ห้องตกแต่งในโทนหรูหราทว่าอบอุ่นมาก นั่งคุยกันในบรรยากาศสบายๆ ผมมาเช็คอินเลทไปเล็กน้อย เลยขอเลทเช็คเอ้าท์ด้วยเลย ซึ่งทางโรงแรมก็ไม่ได้ติดอะไรนะครับ เป็นไปตาม Benefit ของบัตรที่ให้ #เวลาเช็คอินเช็คเอ้าท์ยืดหยุ่นได้

คุยกันสักพักคุณโพนี่ก็ขอตัวไปรินเครื่องดื่มสุดพิเศษจากทาง Capella ให้พร้อมกับมีขนมหวานมาให้ เรานั่งเล่นไปได้เรื่อยๆ เลยครับ ไม่ต้องรีบร้อนอะไร ส่วนกระเป๋าเสื้อผ้าใบใหญ่ของผมได้ถูกนำไปจัดวางไว้บนห้องพักเรียบร้อยแล้วครับ

บรรยากาศของสระว่ายน้ำโรงแรมซึ่งอยู่ใกล้กับ Living Room มองเห็นแม่น้ำเจ้าพระยาด้วยครับ

ผมนั่งอ่านหนังสือและจิบเครื่องดื่มครู่ใหญ่ใน Living Room ก่อนจะได้เวลาขึ้นไปบนห้องพัก รอบนี้ได้ชั้น 10 ครับ สูงกว่าครั้งก่อนหน้าที่พักกันชั้น 8 คุณโพนี่ Capella Culturist เดินมาส่งเข้าห้อง ระหว่างทางก็คุยกันถึงความคุ้มความใจป้ำของโปรนี้ บอกว่ามีลูกค้าจองกันเยอะมาก อิอิ ผมนี่ชอบมากเลยครับ ยิ่งกว่าได้พักฟรี

ประตูห้อง 1005 เปิดออก ผมเดินเข้าไปในห้อง เงยหน้ามองออกไป Facing View ยังคงเป็นแม่น้ำเจ้าพระยาในระดับสายตาที่สูงกว่าครั้งก่อนหน้าเล็กน้อย แต่สวยแบบพาโนรามิคไม่แพ้กันในบรรยากาศของกรุงเทพช่วงหน้าหนาว แดดจะออกส้มๆ เทาๆ ละมุนๆ

ผมยังคงชอบการจัดเลย์เอ้าท์ของห้องที่เน้นกระจกกว้าง ฝ้าสูงแบบ High Ceiling เปิดวิวได้ชัดเจนตั้งแต่มุมนั่งเล่น โต๊ะทำงาน เตียงนอน ระเบียงด้านนอกและห้องน้ำ ทำให้ได้ความรู้สึก โปร่ง โล่ง สบาย อยู่แล้วไม่รู้สึกอึดอัดระหว่างการเข้าพัก Capella เป็นโรงแรมที่ควรค่าแก่การมา Luxurious Staycation เป็นที่สุดครับ

ผมชอบมุมทำงานของห้อง Riverfront มากเลยครับ อ่อ!! ถ้าเป็นห้องชั้นสูงจะเรียกว่าเป็น room type : Riverfront Premier King เท่ากับว่าโรงแรมอัพเกรดห้องให้ผมแหละ ใจดีจัง

“My goal is to build a life I don’t need a vacation from.”

ปฏิเสธไม่ได้ว่าแม้จะเป็นมาพักผ่อน แต่ก็ต้องแอบมีงานแทรกงานด่วนเข้ามาบ้างแหละน่า แต่ผมว่าการอนุญาตให้งานเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของผม มันก็ไม่ได้ลำบากเกินกำลังแต่อย่างใด กลับรู้สึกดีด้วยซ้ำถ้าเราจัดสรรมันได้ลงตัว ทำงานด้วย เที่ยวได้ สบายใจ

ดูสิครับ จากมุมนี้ผมว่านี่เป็นโต๊ะทำงานที่วิวดีมาก นั่งจิบกาแฟคิดงานได้ทั้งวันเพลินๆ มองออกไปเห็นสะพานกรุงเทพและแม่น้ำเจ้าพระยาในช่วงเวลาบ่ายแก่ๆ แดดเริ่มสาดแสงสีส้มเข้ามา เป็นภาพที่สวยมากครับ

เตียงนอนถูกจัดวางไว้ตรงกลางห้อง เตียงใหญ่หนาและนุ่ม เราสามารถแจ้งขอ Pillows Program ได้นะครับ ที่นี่มีหมอนให้เลือกถึง 12 แบบ ลองถามแม่บ้านได้เลย อธิบายได้ชัดเจนดีมาก ผมชอบหมอนที่ค่อนข้างแข็ง พอมาจับคู่กันตามสเปคจึงเป็นเตียงที่นอนสบายมาก อยาก Staycation ที่นี่สักปีนึง โดยเตียงนอนจะหันหน้าออกไปชมวิวแม่น้ำเจ้าพระยา หัวเตียงมีแผงควบคุมระบบไฟติดตั้งไว้ พร้อมที่ชาร์จ และมี iPad สำหรับสั่งอาหารและดูข้อมูล บริการต่างๆ ของทางโรงแรม

ส่วนมุมห้องด้านซ้ายจัดเป็นชั้นวางทีวีขนาดใหญ่พร้อม #ฟรีมินิบาร์ และเครื่องดื่ม ชา กาแฟ ยกเว้นแอลกอฮอลล์ แต่สำหรับผู้ที่จองผ่านบัตร ttb reserve แบบผม #จะได้รับแชมเปญ อีก 1 ขวดจากโรงแรม Capella เรียกได้ว่า คุ้มมากครับ ดีเลย ผมจะเอาไว้นั่งจิบเบาๆ ตอนชมซันเซ็ทจากในห้องนอน

ส่วนด้านในบริเวณหน้าประตูห้องจะเป็นมุมแต่งตัวซึ่งสามารถลัดเข้าช่องทางนี้ได้เพื่อไปยังห้องน้ำได้เลย ไม่ต้องอ้อมเตียงนอนเข้าไปด้านในห้อง ภายในตู้เสื้อผ้าจัดวางอุปกรณ์ไว้ครบครัน และใครที่จองผ่านบัตร ttb reserve แบบผมจะได้รับ #บริการรีดเสื้อผ้าฟรี จำนวน 5 ชิ้น ตลอดการเข้าพัก ประหยัดไปได้หลายตังค์เลยนะ ผมชอบมาก เดี๋ยวพรุ่งนี้จะใส่สูทหล่อๆ ไปทานดินเนอร์ที่ COTE

ฝั่งตรงข้ามจะเป็นห้องน้ำ หน้าห้องมี Bathrobe ที่เป็น Siganature แขวนเอาไว้

ตรงกลางห้องจัดวางอ่างอาบน้ำเอาไว้บนกระเบื้องหินอ่อนสีเทาควันบุหรี่ classy and fabulous มาก ห้องน้ำจัดวางเครื่องเคราแบบครบครัน

ห้องน้ำยังมีไฮไลท์คือช่องกระจกใสบริเวณอ่างล้างหน้า สามารถชมวิวแม่น้ำเจ้าพระยาได้ระหว่างที่เราอยู่ในห้องน้ำ เป็นดีไซน์ที่น่าตื่นตาตื่นใจมาก ผมชอบห้องพักของ Capella Bangkok ที่สุด เพราะแทบจะทุกจุดภายในห้องที่เราสามารถชมวิวได้ ต้องชม Andy Miller และ Richard Scott Wilson 2 สถาปนิกระดับโลก ร่วมกับทีมออกแบบตกแต่งภายในของบริษัทบาโม่ (BAMO) ที่ช่วยกันครีเอทให้ Capella Bangkok เป็นเหมือนแกลอรี่ที่มีชีวิต ทำให้ที่นี่เป็นอีกผลงาน Masterpiece ของพวกเขา

ข้าวของเครื่องใช้ภายในห้องจะเรียกว่าเป็น Less Plastic ก็ว่าได้ ทุกอย่างทำจากกระดาษ ผ้า โลหะ และไม้ น้ำดื่มเป็นบรรจุภัณฑ์ขวดแก้ว ส่วน Ameinty ของโรงแรมคือเก๋มาก Packaging จัดเรียงไว้ในกล่องกระดาษที่ต่อกันเป็น Jigsaw ภาพถ่ายแสนสวยงาม ส่วนในกระเป๋าผ้าจะเป็นไดร์เป่าผมครับ

ส่วนด้านนอกที่เชื่อมต่อกับห้องน้ำจะเป็นส่วนของระเบียงขนาดใหญ่ ที่จัดวางเดย์เบดเอาไว้ให้นอนชมวิวหรือนั่งดื่มด้านนอกได้ ในช่วงอากาศสบายๆ แบบนี้

ผมเลยไม่รอช้า รีบหยิบแชมเปญฟรีจาก ttb reserve เอามาดื่มเพื่อ Celebrate ในช่วงเวลา Festive เช่นนี้ ปิดตัวเลขได้เกินเป้า สวยงามมากครับ

คุณโพนี่ Capella Culturist โทรมาแจ้งเตือนผมว่าอย่าลืมไปร่วมกิจกรรม Cin Cin Hours ของทางโรงแรม ซึ่งเย็นนี้เป็นคราวของ Stella – Cocktail Bar ที่มาแรงที่สุดในกรุงเทพฯ ในเวลานี้

ผมเดินผ่าน Lobby ตกแต่งได้สวยมากครับ สมความเป็น Ultra Luxury Hotel เสียจริง มองออกไปจะเห็นวิวแม่น้ำที่ปกคลุมด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ กลางคืนจะเปิดไฟวิบวับราวกับเป็นหิ่งห้อย มีสระบัวเป็นฉากหน้า มองแล้วสบายตา ช่วยให้รู้สึกสดชื่น เหมือนเป็นวันพักผ่อนจริงๆ ครับ เอาจริง ผมมาจิบชาที่ Capella บ่อยมาก ชอบนั่งมุมนี้ที่สุด

เราเดินเลยจาก Lobby ก็จะถึงที่ Stella Bar ครับ

Stella แปลว่า “หญิงสาวผู้สวยสง่า” จะสังเกตว่าทางฝั่งยุโรปมีคนชื่อ Stella เยอะมากเพราะความหมายดี ตรงกลางบาร์ตกแต่งอย่างโดดเด่นด้วย White Peacock หรือนกยูงสีขาว เรียกว่า Aegis เป็นเหมือนวีรสตรีผู้ทำหน้าที่ปกป้อง คุ้มครอง ได้ฟีลเพื่อนหญิง พลังหญิง

Mixologist กำลังปรุงเครื่องดื่มสูตรพิเศษจากทาง Stella

เครื่องดื่มที่เสิร์ฟใน Stella จะมีความ Feminine นิดๆ ไม่ว่าจะเป็น ย่าโม หรือท้าวสุรนารี จากประเทศไทย / โทโมเอะ โกเซ็น ซามูไรหญิงคนแรกของญี่ปุ่น / เจิ้งยี่ โจรสลัดหญิงชาวจีน และ พระนางลักษมี ไบ หรือ ราชินีแห่งจันษี วีรสตรีของอินเดีย เป็นต้น

จบจากกิจกรรม Cin Cin Hours ผมก็เดินลงบันไดวนต่อไปยังห้องอาหารริมน้ำ ชื่อพระนคร (Phra Nakhon)

พระนคร (Phra Nakhon) เป็นห้องอาหารไทยสูตรต้นตำรับของ “เชฟเล็ก” วิเชียร ไตรรัตนวาธิน พ่อครัวไทยประจำห้องอาหาร อยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยามีให้เลือกนั่งทั้งในห้องแอร์และเปิดโล่งด้านนอก ส่วนตัวผมชอบบรรยากาศด้านนอกที่รายล้อมไปด้วยสวนสวยและทิวทัศน์ของแม่น้ำเจ้าพระยามากกว่า

ที่ห้องอาหารพระนคร มีคอนเซ็ปต์ในการนำเสนออาหารไทยรสเลิศ ด้วยวิธีการปรุงอาหารแบบร่วมสมัยผสมผสานสูตรลับก้นครัวที่ถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น จัดมาเป็นเซ็ตแบบลงตัวทั้งเผ็ด เปรี้ยว หวาน เค็ม ผมเลือกเป็นเซ็ต “สำรับ” มาทานเช่นเคย เป็นเซ็ทที่เชฟจัดไว้ให้ค่อนข้างลงตัวมาก หรือใครจะสั่งเป็นเมนูจานแยกก็ได้ครับ

ตอนเช็คบิล ผมใช้รีสอร์ตเครดิตที่ได้จากการเข้าพักมูลค่า 8,800 บาท แต่ที่ทานไปจ่ายไม่ถึงหรอกนะครับ จะเก็บเอาไว้ใช้ในสปา ส่วนคูปองเงินสดมูลค่า 8,700 บาท ผมกะว่าจะไปใช้ในห้องอาหาร COTE ในวันพรุ่งนี้แทน

ยอมรับเลยว่าบัตร ttb reserve ใช้คุ้มมาก สมัครเถอะ!!

มุมบันไดวนเชื่อมต่อกับทางไป “Elegant Grand Ballroom” สวยมากกกกกกกกกกก ถ้าใครจัดงานแต่งที่นี่ มุมนี้คือต้องถ่าย!!

บอกเลยว่าอิ่มมาก ผมกำลังเดินกลับห้องพักในคืนนี้

วิวจากห้องนอนตอนเช้า เป็นกรุงเทพฯ ในมุมที่ไม่ค่อยเห็นบ่อยครั้งนักถ้าไม่ได้มาพักในโรงแรมริมแม่น้ำเจ้าพระยาแบบนี้

ยอมรับเลยว่าตื่นสาย เพราะเตียงนอนสบายมาก ดูดวิญญาณกันเลยทีเดียว เลยทำให้เช้านี้อดไป #เข้าคลาสโยคะรุ่งอรุณริมแม่น้ำ ซึ่งเป็นสิทธิพิเศษที่จะได้รับฟรี หากใครจองผ่านบัตรเครดิต ttb reserve มา

แต่ว่าไม่เป็นไร นอนต่อให้สบายใจดีกว่าแล้วค่อยตื่นมา #ทานอาหารเช้าสำหรับ 2 ท่าน ได้เลยนะครับ จะทานที่ห้องอาหารพระนครก็ได้หรือจะทานในห้องพักส่วนตัวก็ได้เช่นกัน สามารถเลือก Breakfast in Bed จาก iPad บนหัวเตียงได้เลย หรือจะให้ Capella Culturist ช่วยสั่งให้ก็ได้ครับ

แนะนำว่า อย่าลืมสั่งเซ็ทอาหารญี่ปุ่น แซลมอนคือดีย์มากครับ เรียกได้ว่าเป็น Signature ของทางโรงแรมเลย ผมทานอาหารเช้าค่อนข้างเลท กะว่าจะควบให้เลยมื้อเที่ยงไปเลย เพราะช่วงเวลานั้นผมจะไปทำสปา

สปาที่ Capella Bangkok ชื่อว่า Auriga Wellness อยากมาลองสปาที่นี่มาก (ครั้งก่อนที่มาพักสปายังไม่เปิดให้บริการ)

ภายในตกแต่งได้เรียบหรู ส่วนด้านนอกบริเวณ Lobby ของสปา จะมองเห็นสวนและแม่น้ำเจ้าพระยาไกลๆ ตกแต่งในบรรยากาศสบายๆ

มุมนี้ถ่ายจากด้านนอกสปาเข้าไปครับ จะมองเห็นพื้นที่สีเขียวที่ดูแล้วชื่นใจ

Auriga Wellness มีห้องทำทรีตเมนต์จำนวน 7 ห้อง รวมถึงห้องทรีตเมนต์คู่จำนวน 2 ห้องที่มีอ่างจากุซซี่ส่วนตัว ก็คือห้องของผมนี่แหละ มีความหรูหราและเป็นส่วนตัวดีมาก

ห้องน้ำตกแต่งสวยและหรูหรา ใช้ Amenities ของ Aesop ด้วยนะครับ

สปาของที่นี่วางคอนเซ็ปต์โดย GOCO Hospitality ซึ่งเป็นบริษัทที่เชี่ยวชาญด้านสุขภาพชื่อดังระดับโลก แต่ที่ผมชอบมากคือ Auriga Wellness เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ของ 111SKIN คุณพระ!! มีความลักชูว์ขั้นสุด ที่นี่มีทรีตเมนต์สำหรับสุภาพบุรุษให้บริการด้วยนะครับ ไม่ต้องเขิล เดินเข้ามาได้เลย

ทำสปารอบนี้ ใช้รีสอร์ตเครดิตเช่นเคยครับ แต่ดูเหมือนจะไม่พอ เพราะผมเลือกทรีตเมนต์ตัว Pure Bliss x 111 Skin เลยต้องจ่ายส่วนต่างด้วยบัตรเครดิต ttb reserve ไปด้วยเลย สะดวกดีครับ

ผมเช็คเอ้าท์ไว้ก่อนที่จะเข้ามาทานดินเนอร์ที่ห้องอาหาร COTE by Mauro Colagreco เอาไว้ จากเดิมว่าจองยากแล้วนะครับ โต๊ะเต็มแทบทุกวัน ยิ่งตอนนี้ COTE ได้ดาว 1 ดวงมิชลินประเทศไทย จากการประกาศรางวัลเมื่อไม่นานมานี้ ก็ยิ่งทำให้จองคิวยากขึ้นไปอี๊กกกกก ผมเลยต้องมาทานเอาวันเช็คเอ้าท์แทน แต่ก็ไม่เป็นไรครับ วันไหนก็ได้ ขอให้จองได้ก่อนเถอะ ฮึ่ม!!

ห้องอาหาร COTE by Mauro Colagreco อยู่ชั้น 2 ของโรงแรม Capella ไม่ต้องเข้าพักก็สามารถจองโต๊ะมาทานได้ เป็นห้องอาหาร Fine Dining ที่รังสรรค์โดยเชฟ Mauro Colagreco ชาวอาร์เจนติน่า เป็นเชฟระดับมิชลิน 3 ดาวผู้เคยทำให้ร้านอาหาร Mirazur ที่ฝรั่งเศสคว้ารางวัลร้านอาหารอันดับ 1 ของโลกจาก The World’s 50 Best มาแล้ว

ดังนั้น อย่าได้แปลกใจหากการตกแต่งที่ COTE by Mauro Colagreco จะได้ฟีลของ Mirazur ก็ไม่ผิดนักเพราะเป็นร้านที่ดังที่สุด มีเอกลักษณ์แบบเมดิเตอเรเนียน เอิร์ธโทนปนความทะเลเบาๆ ให้ความรู้สึกราวกับเฟรนช์ริเวียร่า

ส่วนเทคนิคการปรุงนั้น ดูเหมือนว่าเชฟจะทำให้ใกล้เคียงกับที่ Mirazur วัตถุดิบบางส่วนนำเข้าจากฝรั่งเศส และใช้วัตถุดิบท้องถิ่นของไทยเข้ามาประกอบด้วย เพื่อเพิ่มกลิ่นอายความเป็นไทยแฝงลงไปตามคอนเซ็ปต์ Riviera to the River

โดยส่งเชฟ Davide Garavaglia ชาวอิตาเลียนวัย 32 ปีซึ่งอยู่กับเชฟ Mauro Colagreco มานานกว่า 7 ปี มาดูแลที่นี่ เรียกได้ว่าเป็นมือขวาเลยก็ว่าได้ เพื่อให้มั่นใจได้ในความเป็น Mauro Colagreco

มื้ออาหารเริ่มจากการเสิร์ฟ Amuse Bouche และขนมปังสูตรคุณยายของเชฟ Mauro Colagreco ทานคู่กับ Olive Oil สูตรพิเศษที่จะให้ความหอมสดชื่นของมะนาวเหลืองที่อินฟิวซ์กับขิงและน้ำมันมะกอก อร่อยมากครับ ซึ่งใครที่ทานคอร์ส Carte Blanche จะได้รับ Olive Oil กลับบ้านไปด้วย

ส่วนกิมมิคของ COTE by Mauro Colagreco คือ “Carte Blanche” เป็น Mistry Menu ที่คล้ายกับโอมากาเสะ เพราะเชฟจะรังสรรค์เมนูขึ้นมาใหม่ ไม่ซ้ำกันในแต่ละวัน ตามใจฉัน ตามใจเชฟว่างั้น เราจะไม่รู้มาก่อนเลยว่าจะได้ทานอะไร อาจจะมีบริกรมาสอบถามก่อนเริ่มมื้ออาหารว่าเราทานเนื้อได้ไหม ทานนกพิราบหรือเปล่า แน่นอนว่าผมเลือก Main Course เป็น Pigeon / Eggplant / Coffee Powder อร่อยดี ไม่มีกลิ่นเหม็นเลย

ผมเลือกเป็นแบบ Wine Pairing จับคู่ไวน์ที่จะเสิร์ฟมากับจานอาหารโดย Sommelier จะคัดสรรมาให้ โดย “Carte Blanch” 6,100++ บาทและเพิ่ม Wine Paring อีก 4,200++ บาทต่อคนครับ ดังนั้นส่วนที่เหลือจากการจ่ายด้วย Cash Voucher มูลค่า 8,700 บาทนั้น ผมจะชำระด้วยบัตรเครดิต ttb reserve ซึ่งจริงๆ แล้ว Cash Voucher สามารถนำกลับมาใช้ทีหลังก็ได้นะครับ ก่อนวันที่ 31 พฤษภาคม 2565 ส่วนรีสอร์ตเครดิตต้องใช้ให้หมดภายในระหว่างการเข้าพักเท่านั้น

อาจจะต้องวางแผนการใช้ให้ดีและคุ้มค่าที่สุดครับ

#โดยสรุป การมาพักผ่อนแบบหรูหราหรือว่า Luxurious Staycation ของกานต์ที่ Capella Bangkok โดยจองผ่านบัตรเครดิต ttb reserve ถือว่าคุ้มมากครับ Benefits คือแน่นไปหมด เช็คอินเช็คเอ้าท์ยืดหยุ่นเวลาได้ / ได้แชมเปญ 1 ขวดจากโรงแรม / บริการรีดเสื้อผ้าฟรี 5 ชิ้น / เข้าคลาสโยคะตอนเช้าริมเจ้าพระยาได้ / ในห้องฟรีมินิบาร์และห้องพักรวมอาหารเช้าสำหรับ 2 ท่านแล้ว แต่ที่เด็ดสุดคือต้องจองห้องพักแบบ Riverfront ราคา 17,500++ บาท/คืน จะได้รับเครดิตเงินคืนและบัตรกำนัลเงินสดรวมมูลค่า 17,500 บาท พอๆ กับค่าห้องกันไปเลยครับ

สมัครเถอะ ถือว่าพี่ขอ

บัตรเครดิต ttb reserve infinite หรือ signature ก็สามารถรับสิทธิ์นี้ได้หมด และไม่ใช่แค่โรงแรม Capella เท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงโรงแรมชั้นนำของไทยอีกหลายแห่งเลยล่ะครับ สามารถจองได้ตั้งแต่วันนี้ถึง 31 มกราคม 65 และเข้าพักได้ถึง 31 พฤษภาคม 65

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ ttb reserve line 02-010-1428 ตลอด 24 ชั่วโมง หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.ttbbank.com/ttbreserve

KΔNT
KΔNT

อดีตผู้ประกาศข่าวสายเศรษฐกิจ เจ้าของเพจ KANT.CO.TH ชื่นชอบในไลฟ์สไตล์ การท่องเที่ยวพักผ่อน ในโรงแรมหรู สนใจเรื่องราวงานดีไซน์ อสังหา การตลาด การลงทุน