Waldorf Astoria Bangkok

Waldorf Astoria Bangkok บนที่ดินผืนสุดท้ายในราชดำริ

โรงแรมดังจาก New York ต้นกำเนิดของ Egg Benedict

กานต์รีวิว Astoria Suite #ห้องที่วิวสวยที่สุดของโรงแรม

____________________________________________

สาขาแรกของ Waldorf Astoria อยู่ที่ใจกลางแมนฮัตตัน มหานครนิวยอร์กครับ เป็นโรงแรมที่เกิดจากการรวมกันของ 2 โรงแรมคือ The Waldorf กับ The Astor เป็นโรงแรมที่มีประวัติศาสตร์มายาวนานครับตั้งแต่ปี 1883 ร้อยกว่าปีที่ผ่านมา ทำให้มีเรื่องราวเกิดขึ้นที่โรงแรมแห่งนี้เยอะแยะไปหมด เพราะมีประธานาธิบดี เซเลบริตี คนดังระดับโลกมากมายที่ต่างเคยเข้าพักและใช้บริการมาแล้วนับไม่ถ้วน

เมื่อ Hilton มาเปิดแบรนด์นี้ที่เมืองไทย ซึ่งเป็นแห่งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทำให้กานต์ตื่นเต้นเป็นพิเศษครับ ที่จะมารับประสบการณ์เหนือระดับจาก True Waldorf Service การบริการที่ว่ากันว่าดีที่สุดในโลก

ผมชอบที่มาของชื่อ Peacock Alley Lounge ที่ผมได้ไปทาน Afternoon Tea มา เกิดจากการที่ 2 โรงแรมซึ่งอยู่แยกกัน ก่อนจะมีการสร้างถนนเพื่อเชื่อม 2 โรงแรมให้เป็นหนึ่งเดียว เรียกว่า Peacock Alley เก๋มาก นำประวัติศาสตร์ตรงนี้มาตั้งเป็นชื่อ Lounge เสียเลย

นอกจากความหรูหราระดับสูงสุดของโรงแรมในเครือ Hilton ที่ทำให้ผมอยากมาสัมผัสแล้ว วิวที่สวยงามของ Waldorf Astoria กรุงเทพ จากห้อง Astoria Suite ซึ่ง 1 ชั้นมีเพียง 2 ห้องเท่านั้น จะมองเห็น Park View สนามม้าราชกรีฑาสโมสร และที่เด็ดไปกว่านั้น ห้องปีกที่ผมพักในอีกด้านจะมองเห็น City View ฝั่งเซ็นทรัลเวิล์ดด้วยครับ

ส่วนงานสถาปัตยกรรมโดยรวมของ Waldorf Astoria กรุงเทพ ต้องบอกว่า อลังการมากครับ ดีไซน์คล้ายกับที่นิวยอร์ก นำเสนอศิลปะในสไตล์ Art Deco ผ่านดอก Magnolia สัญลักษณ์แห่งความสวยงามทว่าแข็งแกร่ง และเป็นชื่ออาคารที่โรงแรมตั้งอยู่ด้วยครับ

อีกเรื่องที่อยากเล่าคืออาหารเช้าแบบ Full Course มากๆ โดยเฉพาะ Chef Signature Dish อย่าง Truffle Caviar Egg ที่อร่อยสมคำร่ำลือ ทานคู่กับชา Mariage Frères ชาที่เปรียบเสมือน Hermès ในวงการแฟชั่น เข้ากันดีมาก ทำให้เริ่มต้นวันใหม่ในการเข้าพักที่ Waldorf Astoria กรุงเทพ ได้อย่างสวยงาม

ผมเขียนเล่าเรื่องราวการเข้าพักในแคปชั่นของแต่ละรูปภาพที่บรรจงลั่นชัตเตอร์อย่างตั้งใจและงดงามตามสไตล์กานต์ อยากให้เข้ามาอ่านไปด้วยกัน

จากนั้นคุณจะต้องตกหลุมรัก Waldorf Astoria หญิงสาวที่ชอบทัดดอกแมกโนเลียส์ไว้ … เหมือนผม

#luxurytravel#leisuretravel#hotellifestyle

#ท่องเที่ยวพักผ่อนชอบนอนโรงแรมสวย

ใครที่ขับรถหรือนั่งรถไฟฟ้าผ่านถนนราชดำริ คงจะเคยเห็นอาคารสูงทรงเกลียวราวกับกลีบดอกไม้ที่โดดเด่นด้วยสระว่ายน้ำขนาดใหญ่ด้านหน้า เป็นอาคารแมกโนเลีย ที่ตั้งของโรงแรม Waldorf Astoria Bangkok โรงแรม Ultra Luxury ระดับโลก ซึ่งตั้งอยู่บนที่ดินสุดท้ายของถนนราชดำริ หันหน้าเข้าหาสนามม้าราชกรีฑาสโมสร

จาก 30 กว่าสาขาทั่วโลก Waldorf Astoria Bangkok เป็นโรงแรมใหม่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งแต่ละแห่งของ Waldorf Astotia คือการมอบประสบการณ์สุดประทับใจในแบบฉบับของ True Waldorf Service ซึ่งเป็นเจ้าของ Motto “The guest is always right” นั่นคือลูกค้าถูกต้องเสมอ ทุกอย่างจะเป๊ะปัง ตั้งแต่เช็คอิน เข้าพัก ห้องอาหาร สปา บาร์ จนกระทั่งลูกค้าเช็คเอาท์ ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Live Unforgettable” ซึ่งพนักงานทุกคนจะต้องสร้างความประทับใจอย่างไม่มีวันลืมให้กับแขกผู้เข้าพัก

ความสวยงามที่เป็นไฮไลท์ของ Waldorf Astoria Bangkok คือสระว่ายน้ำ ยอมรับเลยว่า AFSO Desiagn Studio นำทีมโดย Andre Fu สถาปนิกชาวฮ่องกง ออกแบบ Signature ของโรงแรมได้อย่างโดดเด่นมาก ขนาดว่าพักโรงแรมข้างๆ ยังอดถ่ายรูปไม่ได้ และตั้งใจจะมาพักที่นี่บ้าง

เป็นสระว่ายน้ำที่หันไปทางทิศตะวันตกครับ ทำให้ยามเย็นเป็นช่วงเวลาแห่งความประทับใจในวิวนี้

ราชดำริเป็นทำเลใจกลางเมืองที่ Rare Item ที่สุดแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ เพราะความสวยงามของถนนที่เต็มไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ให้ร่มเงา มี View Point ของสนามม้าราชกรีฑาสโมสร มีรถไฟฟ้าวิ่งผ่านและใกล้ทั้ง 2 สายคือสายสีลมและสุขุมวิท จึงทำให้มีโรงแรม อาคารสำนักงาน ศูนย์การค้า มาตั้งอยู่บย่านนี้มากมาย อย่างที่ตั้งของโรงแรม Waldorf Astoria Bangkok บนอาคาร Magnolia ก็ไม่ธรรมดา เพราะว่ากันว่าเป็นที่ดินผืนสุดท้ายบนถนนราชดำริแห่งนี้ มองเห็นวิวกรุงเทพมหานครได้โดยรอบ 360 องศา

เมื่อเข้ามาใน Lobby ผมเดินชมความงามจากการออกแบบของ Andre Fu สถาปนิกชาวฮ่องกง เนรมิตให้ Waldorf Astoria Bangkok เป็นดอก Magnolia ที่ชดช้อยงดงาม สื่อสารผ่านงานสถาปัตยกรรมที่ประณีต พิถีพิถันมีการสอดแทรกเสน่ห์ศิลปะแบบไทย เข้าไปได้อย่างเรียบหรู

มีการแยกส่วนระหว่างแขกของโรงแรมกับผู้พักอาศัยใน “แมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด” ออกจากกัน โดยลิฟต์ของโรงแรมจะถึงก่อน จากนั้นจะมีประตูเชื่อมออกไปในส่วนของ Resident เป็นรายละเอียดที่คำนึงถึงความเป็นส่วนตัวของแขกทุกคน

บริเวณโถงหน้าลิฟต์ตกแต่งอย่างเรียบหรู ด้วยลายเส้นอขอบผนังและงานประติมากรรมที่สื่อสารความอ่อนช้อยแบบไทย คล้ายกับดอกไม้หรือจะมองเป็นรูปมือก็ยังได้ ประดับไว้บนหินอ่อนที่นำเข้าจากต่างประเทศ เหมือนที่เคยพบเห็นในโรงแรมแถบยุโรป

ในส่วนของทางเดินไปห้องพักนั้น จะดูแปลกตาจากโถงทางเดินทั่วไป เพราะสถาปนิกออกแบบมีความคดโค้งเคลื่อนไหว ราวกับกลีบดอกไม้ที่ไม่เรียบนิ่ง เลือกใช้สีโทนอ่อนเพื่อความสบายตาและอบอุ่นของผู้เข้าพัก มีการจัดวางงานศิลปะแทรกตามช่องทางเดินเป็นระยะ เพื่อความสวยงามและเป็นจุดพักได้ด้วยครับ

ห้องพักของกานต์ในคืนนี้คือห้องแบบ Astoria Suite ซึ่งจะเป็น 2 ห้องซ้าย-ขวา อยู่ทางด้านหน้าสุดของอาคาร ติดกับถนนราชประสงค์ จะเรียกว่าเป็นห้องพระเอกของโรงแรมเลยก็ว่าได้ครับ เพราะจะได้วิวที่โดดเด่นมากในห้องนั่งเล่นที่เป็นกระจกโค้งออกไป ได้ทั้ง Park View มองเห็นสนามม้าราชกรีฑาสโมสร และห้องปีกขวาของผมจะเห็น City View มองไปทางเซ็นทรัลเวิล์ดได้อีกด้วยครับ

ห้องขนาดกว้าง 155 ตารางเมตร ตกแต่งแบบเรียบหรูโก้ แฝงไปด้วยความอบอุ่นในการเข้าพัก เน้นเฟอร์นิเจอร์จากไม้ ผ้าและประทับด้วยทองเหลือง ทำให้ได้ฟีลลิ่งเหมือนการอยู่บ้านของตัวเอง ที่มีการจัดสรรพื้นที่ใช้สอยภายในห้องแยกฟังก์ชั่นการใช้งานออกจากกัน ไล่ตั้งแต่ Living Room มุมรับประทานอาหาร ห้องทำงาน ห้องนอนและด้านในสุดเป็นห้องน้ำครับ

มีมะพร้าวเป็น Welcome แช่ไว้อยู่ในตู้เย็นรอต้อนรับเลยครับ เจาะช่องมาให้เรียบร้อย ผมชอบมาก

จากนั้น มีการเซ็ตโต๊ะน้ำชายามบ่ายพร้อมขนม เค้ก ของหวาน ไว้ให้ทานในห้องแบบเป็นส่วนตัว เป็นการเริ่มต้นเข้าพักที่สร้างความประทับใจได้อย่างไร้ที่ติครับ

จะบ่นนิดหน่อยก็คือขนมอร่อยเกินไป ไม่พอทานเลยครับ อยากได้เพิ่มอีก 5555

ในส่วนของห้องนอนจะอยู่ปีกขวาจากประตูทางเข้า หันปลายเท้าออกไปทาง City View มองเห็นถนนหนทาง ผู้คน รถรา อาคารน้อยใหญ่ แต่ถ้าเป็นห้องฝั่งตรงข้ามจะหันไปทาง Park View ก็มีเสน่ห์กันไปคนละแบบ

ที่ชอบมากอีกอย่าง คือเตียงที่หนานุ่มกำลังดี มีหมอนอิงสามเหลี่ยมสีเหลืองทองวางไว้บนเตียง จะสังเกตว่าผ้าปูที่นอนสั่งทอพิเศษเป็นโลโก้ของ Waldorf Astoria เองด้วยครับ ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ

ด้านซ้ายมือของเตียงนอนจะอยู่แยกออกไปเป็นห้องทำงาน และอ่านหนังสือที่กว้างมาก และให้ความเงียบสงบเป็นส่วนตัวดี มีช่องหน้าต่างที่เจาะไว้ให้รับแสงสว่างและวิวจากด้านนอก

ส่วนทางเข้าด้านขวาจะเป็นมุมแต่งตัวแบบ Walk in ราวแขวนและตู้เสื้อผ้าใหญ่มาก พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกเตรียมไว้ให้ครบ เมื่อมาถึงห้องก็พบว่า Personal Assistant จาก True Waldorf Service นำมาแขวนและจัดเรียงรองเท้า กระเป๋าอะไรไว้ให้เรียบร้อยแล้ว เป๊ะมากครับ!!

ด้านในสุดเป็นห้องน้ำ ออกแบบเป็นรูปตัว L ตกแต่งด้วยหินอ่อนสีขาวขุ่น ขัดด้วยลายเส้นจากทองเหลืองเสริมความขลัง

อ่างล้างหน้าและกระจกแบ่งเป็น 2 ฝั่ง แยกกันแบบ His&Her พร้อมการตกแต่งที่เรียบง่าย มีเพียงดอกไม้เล็กๆ ประดับไว้พอให้สดชื่น

ด้านขวาของอ่างจัดเตรียม Amenities ไว้อย่างครบครันบรรจุในกล่องไม้สีดำ ใช้แบรนด์ Salvatore Ferragamo จากอิตาลี ให้กลิ่นที่เรียบแต่หอมลึกซึ้ง ยิ่งได้ทา Body Cream ยิ่งชอบจนต้องหอบกลับบ้าน เพราะติดใจกลิ่นที่หอม ทนและมีเสน่ห์มาก

อาบน้ำแต่งตัวเสร็จแล้วครับ คืนนี้จะขึ้นไปทานดินเนอร์บนชั้น 55 ซึ่งน่าจะเป็นอีกคืนที่ผมประทับใจ

ภาพนี้ถ่ายจากโถงทางเข้าห้องครับ ผนังดีไซน์โค้งดูแปลกตาดี มีภาพฉลุลายประดับไว้อย่างลงตัว

วิวยามแสงทไวไลท์คือสวยมากครับ มองเห็นพระอาทิตย์ตกดินจากในห้องได้เลย เสียดายเย็นนี้แสงไม่ค่อยสวย แต่บรรยากาศภายในห้องคือดีมาก ผมชอบแสงโคมไฟที่สะท้อนไปยังฝ้าเพดานและกระจกเงา สื่อถึงการใช้ชีวิตในเมืองใหญ่ของเรา ถึงแม้ผู้คนจะมากมายเพียงใด แต่ใจที่คุ้นเคยกับความเหงา ก็จะยังคงความเหงาอยู่ตลอดไป

จองโต๊ะไว้เวลาหนึ่งทุ่ม ที่ Bull & Bear ตั้งอยู่บนชั้น 55 เราจะต้องใช้ลิฟต์ที่แยกออกมาอีกตัวจากของโรงแรม เพื่อตรงดิ่งสู่ชั้นบน 55 เป็น Bull & Bear ซึ่งเป็นชื่อเดียวกันกับห้องอาหารในโรงแรม Waldorf Astoria ทั่วโลก ส่วนชั้น 56 เป็นThe Loft บาร์สุดหรูตกแต่งในสไตล์ Romantic Art Nuvo เสียดายช่วงนี้ปิดให้บริการตามมาตรการโควิด และชั้นบนสุดชั้นที่ 57 เป็น The Champagne Bar ที่วิวสวยมาก แต่ปิดให้บริการเช่นกัน

ไม่เป็นไรคืนนี้เรานั่งทานสเต๊กกันที่ Bull & Bear ก่อนครับ แล้วค่อยกลับมานั่งบาร์ใหม่ในโอกาสต่อไป

ด้านหน้าห้องอาหารประดับด้วยงานศิลปะผลงานของ William Harris ดีไซน์เนอร์จากบริษัท AvroKO ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากงานวิจิตรศิลป์ของไทยสไตล์ล้านนาประยุกต์ มีความแข็งแกร่งราวกับนักรบแต่ก็ซ่อนความอ่อนไหว เข้าไว้ด้วยกัน ตามคอนเซปต์ของห้องอาหาร Bull & Bear และที่ตั้งของอาคารคือแมกโนเลียส์ 

ที่ Bull & Bear มีบาร์เล็กๆ เช่นกัน เราสั่งม๊อกเทลหวานๆ มาจิบก่อนมื้ออาหารจะเริ่มครับ

ห้องอาหารตกแต่งสไตล์รีเจนซี่ในยุค ’50 ให้ความรู้สึกหรูหราแบบคลาสสิค ด้วยโทนน้ำตาล ดำ เครื่องหนังผสมผสานกับลวดลายแบบไทยๆ สไตล์ล้านนาประยุต์ได้อย่างลงตัว

ที่ Bull & Bear จะให้บริการ Steakhouse เป็นหลัก คอนเซปต์เดียวกับที่นิวยอร์กครับ สเต็กที่ Bull & Bear ทุกชิ้นจะถูกปรุงอย่างพิเศษด้วย เตาของที่ร้านจะสั่งทำพิเศษและนำเข้าจากต่างประเทศเพราะเป็นเตาแบบ Grill & Smoke สามารถรมควัน และย่างเนื้อไปพร้อมๆ กันได้ ซึ่งไม่ค่อยพบเห็นใน Steakhouse บ้านเรามากนัก ข้อดีของเตาแบบนี้คือจะช่วยให้สเต็กของมีกลิ่มหอมของควันไม้ที่รมไว้ เพิ่มสัมผัสในการรับประทานด้วยครับ

Bull & Bear ถือว่าเป็นร้านที่เก่าแก่มากจากนิวยอร์ก เคยให้บริการนักธุรกิจ บุคคลสำคัญระดับโลกมาแล้วมากมายและเป็นที่กล่าวขานโจษจันกันในเรื่องของคุณภาพ จนมาถึงที่กรุงเทพก็เช่นกัน

ที่นี่เป็นครัวเปิดครับ เชฟและทีมงานจะปรุงอาหารให้ทานแบบสดๆ เชื่อมต่อความรู้สึกและบรรยากาศของความอร่อย ความสุข ความสนุกสนาน มีชีวิตชีวาน่าประทับใจเข้าไว้ด้วยกัน

สำหรับ Pre-course ของ Bull & Bear จะมีขนมปังให้เสิร์ฟให้เรา 2 แบบครับ คือ Soft Bread และ Hard Rolls ทานคู่กับเนยโฮมเมดจากทางร้าน จากนั้นจะเป็นจานเรียกน้ำย่อย ผมสั่ง Bull & Bear Salad และ Truffle Mac and Cheese ส่วนซุปเป็น Bull & Bear Chowder เป็นซุปข้าวโพดรมควันสไตล์ของฝรั่งเศส ให้รสชาติหวานผสานเผ็ดร้อนจากพริกในถ้วยเดียวกัน

ตามด้วยจานหลัก แน่นอนว่า ผมสั่งวากิวสเต๊กที่เชฟกริลล์มาสุกกำลังดี ผมชอบที่ใส่มัสตาร์ดเกลือและซอสต่างๆเป็นรูปหมีกับกระทิง ตามชื่อของห้องอาหาร น่ารักดีครับ

วันที่ผมไปทานมื้อค่ำ พบกับเชฟ Alessandro Santi ซึ่งเป็น Executive Chef ลงมาดูแลความเรียบร้อยภายในห้องอาหารด้วยตัวเอง เรียกได้ว่าคุมเข้มทุกจานก่อนเสิร์ฟครับ เชฟน่ารักมาก คุยสนุกดีครับ

กลับเข้าห้องมาพบว่า ทีม True Waldorf Service นำเครื่องดื่มเบาๆ ก่อนนอนมาให้ดื่มพร้อมน้ำแข็งและมะตูมแห้งฝาน พร้อมเขียนการ์ดอวยพรก่อนนอน

เห็นท่าคืนนี้จะหลับสบาย … zzZZ..Z

มื้อเช้าเราต้องรีบตื่น เพราะเนื้อเต้นมาก (ดีใจ) ที่จะได้ไปสัมผัสกับไลน์อาหารเช้าที่หรูหราที่สุดแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร

แต่ก่อนทานข้าวเราก็ขอเก็บภาพในมุมมหาชนก่อนสักใบ เผื่อตอนสายแขกมากันเยอะครับ

The Brasserie เป็นห้องอาหารเช้าที่เรียบหรูโก้มากๆ การจัดวางโต๊ะต่างๆ เว้นระยะห่างได้ดี เนื่องด้วยมีพื้นที่กว้าง เพราะกินไปกว่าครึ่งชั้น กระจกใสโดยรอบทำให้ห้องดูโปร่งมากยิ่งขึ้นครับ รับแสงทองของวันใหม่ได้อย่างสดชื่น

ห้องอาหาร The Brasserie จัดวางไลน์อาหารไว้เป็นวงกลมครับ เดินได้รอบเลย จัดเรียงอย่างหรูหราลงบนภาชนะอย่างสวยงาม อาหารเน้นความสดใหม่ของวัตถุดิบเป็นหลัก ควบคู่ไปกับรสชาติที่ผสมผสานระหว่างอาหารตะวันตกและตะวันออกได้อย่างลงตัว

ที่ต้องสั่งเพราะสวยและอร่อยด้วยคือ Chef Signature Dish เป็น Egg Benedict Truffle ครับ ออนท๊อปด้วยคาร์เวียร์ หอมและอร่อยสมมงมากๆ ถ้าไม่เกรงใจตาชั่งว่าน้ำหนักตัวจะเพิ่ม ก็อยากจะสั่งสัก 3 รอบ

ส่วนชาที่เสิร์ฟเป็น Mariage Frères จากฝรั่งเศสเช่นกัน ที่ชอบอีกอย่างคือน้ำผลไม้ที่สดจากผล ไม่ได้สดจากกล่องเหมือนบางโรงแรมครับ

ผมต้องมอบมง ยกให้ The Brasserie เป็นห้องอาหารเช้าที่ดีเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศไทยเลยครับ ด้วยวัตถุดิบที่สดใหม่ มาพร้อมกับรสชาติที่ถูกปาก ในบรรยากาศที่ถูกใจ หรูหรามีระดับ เห็นว่าโรงแรมเปิดรับแขกจากด้านนอกมาทานอาหารเช้าด้วยนะครับ สามารถสอบถามและจองได้จากทางโรงแรมครับ

สายๆ ผมจองสปาเอาไว้ ซึ่งถือว่าเป็นสปาอีกแห่งในกรุงเทพที่ดัง มีแขกเข้าใช้บริการทั้งแขกนอกและแขกในโรงแรม เยอะพอสมควรครับ อยากจองตอนบ่ายแต่ห้องไม่ว่าง เลยขยับเป็นตอนสาย

บรรยากาศสบายๆ มาก

ทางเดินไปยังห้องทรีตเมนต์ตกแต่งด้วยผนังโค้งเหมือนกลีบดอกไม้ที่พร้ิวไหว อีกด้านของผนังประดับด้วยเชิงเทียนทองเหลืองที่ดีไซน์ให้ดูเหมือนริบบิ้นเบาสบาย

พนักงานเดินนำผมไปยังห้องทรีตเมนต์อย่างช้าๆ เพื่อให้เกิดการทำสมาธิ ผ่อนคลายก่อนการนวด

ผมว่าที่ Waldorf Astoria Spa เหมาะแก่การเป็นสถานที่เพื่อหลบหนีความวุ่นวายในชีวิตประจำวัน ให้เวลากับตัวเองได้มาผ่อนคลายและปรนนิบัติดูแลผิวพรรณ ให้ความเงียบเข้ามาปกคลุมจิตใจเราบ้างก็ดีเหมือนกัน

ที่นี่มีทรีตเมนต์ให้เลือกหลากหลายครับ มีโปรแกรมที่ผสมผสานปรัชญาการบำบัดแบบไทยและเทคนิคร่วมสมัยให้เลือก ผมเลือกเป็น Signature คือ Waldorf Astoria Massage ที่จะนวดพร้อมเทียนหอม ผสานเข้ากับอโรม่ากลิ่นหอมของดอกแมกโนเลียส์

“บุ๊ง” เทอราพิส นวดน้ำหนักดีมาก ผมชอบเน้นขาเท้า เพราะว่าแก่แล้ว เอ๊ยย ไม่ใช่ เพราะว่าเดินเยอะครับ

จริงๆ ที่นี่มี Men’s Treatments แยกออกไปอีกโปรแกรมเลยนะครับ แต่ผมเพิ่งมาครั้งแรกอยากลอง ตัว Signature ก่อน ครั้งหน้าจะมาใหม่

เมื่อนวดเสร็จพนักงานก็เตรียมอ่างพร้อมตีฟองไว้ให้เรียบร้อยพอดี เป็นการจบกระบวนการปรนเปรอผิว

ผมชอบคำนี้จัง อ่านมาจากไหนสักที่หนึ่งนี่แหละ รู้สึกประทับใจ เหมือนได้ดูแลตัวเองแบบเอาอกเอาใจสุดๆ

ตอนเดินออกจากห้องทรีตเมนท์ เดินผ่านฟิตเนสด้วย เสียดายไม่ได้เอารองเท้าเทรนนิ่งมา เลยอดออกกำลังกายเลย ไม่เป็นไร เดี๋ยวจะไปว่ายน้ำแทน

วันนี้ทานมื้อกลางวันช้าไปสักนิด แต่ข้อดีคือ แขกท่านอื่นทานกันเสร็จแล้วที่ห้องอาหาร Front Room ซึ่งตอนนี้เปิดคอร์สกลางวันเพิ่มมาในราคาไม่ถึงพัน แขกเลยมาทานกันเยอะขึ้น

Front Room เป็นห้องอาหารไทยที่ตกแต่งในสไตล์โมเดิร์นคลาสสิค เน้นโทนสีเหลือง น้ำตาล เขียวอ่อน ชวนให้นึกถึงเครื่องเทศของไทยหลายชนิดที่มีสีสันแตกต่างกันไป ห้องอาหารจึงเน้นเสิร์ฟรสมือแบบไทยแท้ๆ

แต่ช่วงนี้จัดโต๊ะห่างๆ ตามมาตรการโควิดครับ

เมนูเยอะมาก อยากทานหลายอย่างเลยครับ เพราะหิวมาก อ่านเมนูไป จานไหนก็น่าทานไปเสียหมด เท่าที่จำได้ก็จะมี ข้าวเกรียบกุ้ยช่าย เป็นอาหารเรียกน้ำย่อย จานอื่นๆ มีกุ้งผัดพริกแกงกับอาจาด / ยำปลาเทราต์น้ำกะทิ / พล่าไหลบัว / ปลาทอดพริกกระเทียม / ทะเลกับสตอคั่วพริก / เนื้อเสือร้องไห้ (จานนี้ชอบมาก) / แกงเผ็ดใต้ใส่ปลากะพงและใบยี่หรา / กุ้งนึ่งซีอิ๊ว

ส่วนของหวานเป็นข้าวเหนียวมะม่วงกับไอศกรีมโฮมเมด รสมะพร้าวคืออร่อยเลิศ

ห้องอาหาร Front Room ดูแลโดยเชฟบัว สโรชา รัชตะนาวิน เป็นเชฟรุ่นใหม่ที่เก่งมากครับ สามารถนำความรู้ ความเข้าใจในเรื่องอาหารอย่างลึกซึ้งมาถ่ายทอดลงบนจานได้อย่างยอดเยี่ยม เน้นเรื่องรสชาติไทยแท้ทั้ง 8 สัมผัส ไม่ว่าจะเป็น เผ็ด เปรี้ยว หวาน เค็ม ขม มัน ปร่า และจืด

จากนั้นตอนบ่าย เราขึ้นไปที่ Peacock Alley อีกครั้ง เพื่อจะไปทานน้ำชายามบ่ายที่โดดเด่นอีกแห่งหนึ่งของกรุงเทพมหานคร เพราะด้วยบรรยากาศและการตกแต่งที่เรียบหรูโก้ พร้อมกับชื่อว่า Peacock Alley Afteroon Tea ที่จะเปลี่ยน Theme การนำเสนอในแต่ละเดือน แต่ยังคงคอนเซปต์ พิธีการจิบชายามบ่ายที่สุดคลาสสิค มาพร้อมกับขนมสไตล์โฮมเมด อาหารว่าง และอีกหลากหลายเมนูเครื่องดื่ม

นอกเหนือไปจากขนมแสนอร่อยแล้ว ความดีงามที่ต้องยกให้เลยคือวิวที่สวยมาก เมื่อมองไปทางซ้ายจะเป็นราชกรีฑาสโมสร (Royal Bangkok Sprts Club) ด้านขวาจะเป็น City View ที่บอกเล่าเรื่องราวความเป็นมหานครได้เป็นอย่างดี มีความเพลิดเพลินใจ เมื่อมองจากด้านบนลงไป ราวกับได้หยุดเวลาเอาไว้บนนี้

Peacock Alley ในโรงแรม Waldorf Astoria เป็นภาพสะท้อนคาแรกเตอร์ของแบรนด์ได้อย่างดี เพราะมีทั้งภาพของความหรูหรา ไลฟ์สไตล์ของมหานครนิวยอร์คที่ยกมาไว้ในกลางกรุงเทพ

สื่อสารผ่านนกยูงที่ดูสง่างาม และการเชื่อมต่อความสัมพันธ์ในวงสังคม จึงทำให้ Peacock Alley เป็นสถานที่ยอดเยี่ยมในการเริ่มความสัมพันธ์ พูดคุยเจรจาธุรกิจ หรือคุยกันสนุกสนานกับเพื่อนๆ ครับ

ช่วงนี้ขนมเป็นตีมใหม่ให้เข้ากับเดือนแห่งความรัก แต่ Signature เลยที่ต้องมีคือ Scone ที่อุ่นร้อนมา พร้อมกับ แยม ครีม ที่จะเปลี่ยนรสชาติตลอดเวลา อย่างเดือนกุมภาพันธ์จะเป็นสีสันและรสชาติที่นำโดยราสเบอร์รี่และสตอเบอร์รี่ครับ

ช่วงนี้โรงแรมให้เลทเช็คเอ้าท์ได้ จึงมีเวลามาว่ายน้ำ ออกกำลังกาย (จริงๆ คือมาถ่ายรูปแล้วกลับแหละ ดูออก) สระว่ายน้ำของที่นี่มีความดีงามคือ เป็นสระว่ายน้ำกลางแจ้ง ที่ควบคุมอุณหภูมิน้ำเอาไว้สบายๆ แถมยังวิวสวยมากอีกด้วย ใครบ้างมาแล้วจะอดใจไม่ถ่ายรูปไหว

#โดยสรุปWaldorf Astoria Bangkok เป็น Ultra Luxury Hotel ที่ยอดเยี่ยมอีกแห่งหนึ่งของกรุงเทพมหานครที่กานต์ประทับใจมากครับ ด้วยชื่อชั้นของแบรนด์ระดับสูงสุดของเครือ Hilton ชื่อเสียงที่สั่งสมมานานถึงร้อยกว่าปี มีการบริการในระดับดีเยี่ยมจาก True Waldorf Service จึงเป็นความคิดที่ดีมาก หากใครมองหาสถานที่พักผ่อนสบายๆ ในแบบ Staycation ใจกลางเมือง

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร 0-2846-8888 หรือ waldorfastoria3.hilton.com

KΔNT
KΔNT

อดีตผู้ประกาศข่าวสายเศรษฐกิจ เจ้าของเพจ KANT.CO.TH ชื่นชอบในไลฟ์สไตล์ การท่องเที่ยวพักผ่อน ในโรงแรมหรู สนใจเรื่องราวงานดีไซน์ อสังหา การตลาด การลงทุน