SONEVA KIRI KOH KOOD

SONEVA KIRI KOH KOOD🏝

______________________________

นี่คือรีสอร์ตหรูของไทยที่ติดอันดับ 1 จากสื่อหลายสำนักทั่วโลก

นี่คือรีสอร์ตในฝันที่หลายคนพูดตรงกันว่า “อยากมาพักสักครั้งให้ได้ในชีวิต”

นี่คือรีสอร์ตที่นำเสนอความเป็นธรรมชาติได้อย่างหรูหราทว่าเรียบง่าย

มาพร้อมกับแนวคิดใหม่ “Intelligent Luxury”

นำเสนอประสบการณ์ “ใหม่” ไปพร้อมกับการใช้ชีวิต

เป็นการสร้างเรื่องราวและความทรงจำที่มีคุณค่าให้กับกานต์ได้อย่างลึกซึ้งมาก

ยากที่จะมูฟออน …

แน่นอนว่านี่คือครั้งแรกของกานต์กับ Soneva Kiri (โซเนว่า คีรี) เกาะกูด ครับ

กานต์นั่งเครื่องบินส่วนตัว So Ever the Top จากสุวรรณภูมิไปลงที่เกาะไม้ซี้

อยู่ห่างจาก Soneva Kiri นั่งเรือต่อไปประมาณ 5 นาทีก็ถึง

เป็นการเดินทางมาเกาะกูดที่ไม่เหนื่อยเลยครับ จากปกติใช้เวลาครึ่งค่อนวัน

จากนั้น ก็ได้เวลาพักผ่อนแบบ No News No Shoes

แทบจะไม่รู้ข่าวสารความเป็นไป เพราะอยากให้เราใช้เวลาพักผ่อนให้เต็มที่

ในแต่ละวันจึงเต็มไปด้วยกิจกรรมเพื่อบำเรอความสุขให้กับตัวเอง

เชื่อไหมว่าเวลา 3 วัน 2 คืนบนเกาะกูดผ่านไปเร็วกว่าที่คิด

มีเรื่องราวของ Soneva Kiri ที่ยังคงติดตรึงใจ

อยากเก็บมาเล่าให้ฟัง เขียนให้อ่านเต็มไปหมด

ถ่ายรูปเก็บมาเยอะมากกกกกก

เพราะอยากให้เห็นในทุกมุมของที่นี่จริงๆ ครับ

กานต์เขียนรีวิว Soneva Kiri แบบละเอียดยิบเลยครับ

แบ่งออกเป็น 6 Chapter ดังนี้

Chapter 1 จุดเริ่มต้นกานต์เดินทาง : https://www.kantjournal.com/soneva-kiri-at-the-beginning/

Chapter 2 เดอะวิลล่าที่โซเนว่าคีรี : https://www.kantjournal.com/soneva-kiri-the-villas/

Chapter 3 หาดส่วนตัวที่นอร์ทบีช : https://www.kantjournal.com/soneva-kiri-north-beach/

Chapter 4 ประสบการณ์ดีๆ ที่ห้ามพลาด : https://www.kantjournal.com/soneva-kiri-dont-miss/

Chapter 5 อาหารกานต์กิน : https://www.kantjournal.com/soneva-kiri-eat-up/

Chapter 6 วิถีชีวิตที่ยั่งยืนบนเกาะกูด : https://www.kantjournal.com/soneva-kiri-sustainable-life/

Soneva Kiri จึงเป็นรีสอร์ต ที่มุ่งสร้างแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิต

เป็นการตีความคำว่าหรูหราออกมาเสียใหม่

เป็นความหรูหราที่มาจากข้างในจิตใจ ที่ Soneva Kiri มอบให้

เป็นความรู้สึกใหม่ที่ตอบคำถามได้ว่า มนุษย์กับธรรมชาติเป็นสิ่งเดียวกัน

แน่นอนว่า เราจะได้รับจากประสบการณ์อันหาที่ไหนไม่ได้ นอกจากที่นี่

“Inspiring a Lifetime of Rare Experiences”

ไปชมภาพพร้อมกับเรื่องราวดีๆ ของกานต์กับ Soneva Kiri กันดีกว่าครับ

#sonevakiri#discoversoneva#experiencesoneva

#soneva25#sustainablesoneva#sosoneva

Soneva Kiri (โซเนว่า คีรี) เป็นชื่อของรีสอร์ตหรูระดับ 6 ดาว บนเกาะกูด จังหวัดตราด ครับ หนึ่งในชายหาดที่สวยที่สุดในประเทศไทยภายใต้ธรรมชาติที่สมบูรณ์ ด้วยความบริสุทธิ์ของต้นไม้ ความใสของน้ำทะเล ความขาวสะอาดของทรายและชายหาด เกาะกูด ซึ่งเป็นเกาะที่ใหญ่เป็นอันดับที่ 4 ของประเทศไทย จึงได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวทั่วโลก กลายเป็น Destination ที่ใครต่างก็ใฝ่ฝันอยากจะมาเข้าพักที่นี่ เพราะเรียกตัวเองว่า “Unparalleled luxury meets eco-friendly design. Nestled within lush tropical rainforest on an unspoiled island with some of the best beaches in Thailand.” บนเนื้อที่กว่า 400 ไร่ของรีสอร์ทรักษ์โลกแห่งนี้ ออกแบบให้วิลล่าทั้ง 36 หลัง ต่างร่วมเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ มีความเชื่อมโยงกันในทุกมิติ มีความหรูหรา ทว่าเรียบง่าย ราวกับเป็นภาพสะท้อนว่า มนุษย์เรากับธรรมชาติต่างกลมกลืนกันไปในการดำเนินชีวิตและอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข

“Intelligent Luxury” คือหลักที่ทาง Soneva นำมาขับเคลื่อนความคิดสร้างสรรค์ต่างๆ ในการทำธุรกิจบริการคือรีสอร์ตครับ เพราะการตีความและทำความเข้าใจถึงนัยยะของคำว่า “หรูหราที่แท้จริงสำหรับผู้เข้าพักคืออะไร” แน่นอนว่า ผู้เข้าพักซึ่งส่วนมากเป็นคนในเมืองใหญ่จากทั่วโลก มีหน้าที่การงานดี มีหน้าตาทางสังคม เป็นคนดังระดับโลก มีรายได้ที่ดีและมีกำลังซื้อสูง ดังนั้น การทำความเข้าใจในไลฟ์สไตล์และชีวิตประจำวันของแขกผู้เข้าพัก จากนั้นก็นำเสนอในสิ่งที่ขาดหายไปจากชีวิต เช่น ความเป็นธรรมชาติที่หรูหรา ขณะเดียวกันก็นำเสนอประสบการณ์ “ใหม่” ไปพร้อมๆ กัน เป็นการสร้างเรื่องราวและความทรงจำที่มีคุณค่าในชีวิตของแขกผู้เข้าพักได้อย่างลึกซึ้งมากครับ ดังนั้น การเข้าพักในทุกรีสอร์ตของ Soneva จึงไม่ใช่แค่การเข้าพักแค่ครั้งเดียว แต่เป็นความผูกพันอันเกิดจากประสบการณ์ที่แบรนด์ Soneva ตั้งใจคัดสรรและมอบให้นั่นเองครับ

Soneva Kiri เกาะกูด ตั้งอยู่บริเวณแหลมโป่งหลักอวน ซึ่งเป็นอีกจุดหนึ่งของเกาะกูดที่มีความสวยงาม ด้วยความที่ภูมิศาสตร์อยู่บนพื้นที่โค้ง ส่งผลให้ Soneva Kiri มีวิวทิวทัศน์ให้ชมค่อนข้างหลากหลาย แต่หากจะเล่นน้ำทะเลหรือทำกิจกรรมทางชายหาด ทางรีสอร์ตได้เพิ่มบริการสุด Exclusive ด้วยหาดส่วนตัว คือ North Beach

Soneva Kiri จึงเป็นรีสอร์ตหรู ที่มุ่งเน้นการสร้างแรงบันดาลใจในการดำเนินชีวิตที่เราจะได้รับจากประสบการณ์อันหาที่ไหนไม่ได้ (Inspiring a Lifetime of Rare Experiences) นอกจากที่ Soneva Kiri เท่านั้น ภายใต้การบริหารงานของผู้ก่อตั้ง คุณ Sonu Shivdasani นักธุรกิจชาวอินเดีย และภรรยาคือคุณ Eva Malmström Shivdasani ซึ่งนำชื่อของทั้งสองท่านมาสมาสกันจนกลายเป็นคำว่า “SONEVA” เป็นชื่อเฉพาะที่เพราะมากครับ

ปัจจุบันมีรีสอร์ตในเครือที่ดูแลอยู่ทั้งหมด 4 แห่ง 1 แห่งในประเทศไทยคือ Soneva Kiri เกาะกูดที่เรามาพัก ส่วนอีก 3 แห่งอยู่ในมัลดีฟส์ได้แก่ Soneva Fushi, Soneva Jani และมีเรือยอร์ชสุดหรูล่องอยู่กลางมหาสมุทรอินเดีย ชื่อว่า Soneva in Aqua ให้บริการด้วยครับ อันนี้ว๊าวมากเลยนะในความรู้สึกผม ซึ่งมองว่า ทั้งคุณ Sonu และคุณ Eva ไม่เคยคิดอะไรแบบธรรมดาได้เลย ทุกอย่างต้องเป็นประสบการณ์ใหม่และเป็นประสบการณ์เฉพาะที่เราจะหาที่ไหนไม่ได้ จนทำให้เครือ SONEVA คว้ารางวัลระดับโลกมาแล้วมากมาย 

Soneva Kiri เกาะกูด จึงเน้นนำเสนอประสบการณ์ใหม่ในการใช้ชีวิต ด้วยความหรูหรา ความสุข ความสบาย ความเป็นธรรมชาติและความเป็นกันเอง ทุกขั้นตอนผ่านกระบวนการคิดมาอย่างซับซ้อนเพื่อนำไปสู่ความเรียบง่าย แต่เดิมหากเราจะเดินทางไปเกาะกูด จะต้องนั่งรถไป 4-5 ชั่วโมงแล้วต่อเรือ เพื่อไปเทียบท่าของรีสอร์ต แต่สำหรับที่ Soneva Kiri ปรับวิธีคิดใหม่ ทำให้การเดินทางไปยังจุดหมายคือ “เกาะกูด” นั้น เป็นเรื่องที่ง่ายและสะดวกสบาย ด้วยการให้ผู้เข้าพักนั่งเครื่องบินส่วนตัวของรีสอร์ต ไปลงที่เกาะไม้ซี้ และนั่งเรืออีก 5 นาที ก็จะถึงรีสอร์ต ชั่วยร่นระยะเวลาจากครึ่งค่อนวัน เหลือเพียง 1 ชั่วโมงเศษๆ เท่านั้น สะท้อนความมุ่งมั่นในการมอบประสบการณ์สุดพิเศษของประสบการณ์จากการเข้าพักที่ Soneva Kiri ให้กับนักเดินทางจากทั่วโลก

จากสนามบินสุวรรณภูมิ My rare life journey begins at No. D24

การเดินทางของ “กานต์” เริ่มต้นขึ้นที่นี่ครับ เคาท์เตอร์หมายเลข D24

เมื่อเราเช็คอินเสร็จมีเจ้าหน้าที่มาต้อนรับเพื่ออำนวยความสะดวก และหากมีเวลาเราสามารถไปใช้บริการที่บลูริบบอนเล้าจน์ได้

จากนั้นจะมีเจ้าหน้าที่พาไปขึ้นเครื่องบินส่วนตัว เป็นเครื่องบินขนาด 8 ที่นั่ง ดูแล้วน่าจะเป็นเครื่องบินพาณิชย์ที่เล็กที่สุดของสนามบินสุวรรณภูมิแล้วกระมัง เพราะจะให้บริการเฉพาะแขกผู้มีเกียรติที่เข้าพักกับ Soneva Kiri เท่านั้น บินไป-กลับ ระหว่าง ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิไปกลับสนามบินเกาะไม้ซี้

เราสามารถเห็นห้องนั่งบิน และกัปตันระดับใกล้ชิด เป็นบริการแบบ Exclusive สำหรับแขกของ Soneva Kiri เท่านั้น


เมื่อได้เวลา กัปตันเร่งใบพัด จากนั้นเครื่องบินจะค่อยๆ แท๊กซี่ไปตามรันเวย์ อย่างช้าๆ ด้วยความที่เครื่องบินไม่ได้ลำใหญ่ ผู้โดยสารไม่เยอะมีแค่คู่รักชาวต่างชาติและกานต์เท่านั้น ไฟล์ทนี้จึงเป็นการเดินทางเรียบง่าย ทว่าหรูหราระดับ VVIP เมื่อเครื่องบินเทคออฟ กานต์รู้สึกตื่นเต้นมากครับ เหมือนกับซื้อตั๋วแยกต่างหากเพื่อได้นั่งเครื่องบินเล่นชมวิวมุมท๊อป เนื่องเพราะเพดานบินไม่ได้สูงมาก เราจึงดื่มด่ำกับวิวมุมสูงได้อย่างตื่นตาตื่นใจ หยิบ Leica คู่ใจมาคอยเก็บภาพอยู่ตลอดเวลา

ฉากที่มองเห็นเบื้องล่างที่มีทั้งบ้านเรือน ป่าไม้และทะเล สลับกับปุยเมฆที่ลอยผ่านมาทักทาย เป็นจุดเริ่มต้นการเดินทางที่เซอร์ไพรส์ความสุขได้ทุกวินาทีเลยทีเดียว

ใช้เวลาราว 1 ชั่วโมง 15 นาที เครื่องบินก็แลนดิ้งที่รันเวย์เกาะไม้ซี้ ซึ่งเป็นเกาะที่ทาง Soneva Kiri จัดทำไว้เพื่อทำเป็นลานบินเท่านั้น กัปตันกล่าวขอบคุณ เราอดปรบมือให้กัปตันไม่ได้ จากนั้นจึงกล่าวอำลาและขอบคุณกัปตันอย่างเป็นกันเอง เป็นอีกหนึ่งความประทับใจครับ

สนามบินส่วนตัวของ Soneva Kiri ที่เกาะไม้ซี้ กับเครื่องบินส่วนตัวที่มีชื่อเรียกเก๋ๆ ว่า So Ever the Topครับ

จากนั้น มีพนักงานของทางรีสอร์ต สวมชุดผ้าฝ้ายสีขาว ไม่สวมรองเท้า ยืนแสตนบายด์รอต้อนรับ ก่อนจะแนะนำตัวเองว่าเป็น Mr.&Ms.Friday เพื่อมารอต้อนรับแขกประจำของแต่ละคน ของกานต์เป็น Ms.Friday ชื่อน้องพิมครับ เดินเข้ามากล่าวสวัสดีทักทาย เอ่ยนามลูกค้าได้โดยไม่ต้องรอให้เราตามหาว่าใครเป็นใคร จากนี้ Ms.Friday ช่วยดูแลเรื่องสัมภาระและพาเรานั่งรถบัคกี้ต่อไปยังเรือสปีดโบทสีเหลืองแซมขาว ซึ่งเป็นสีประจำรีสอร์ต และเป็นโทนสีโปรดของกานต์ด้วยครับ

มองจากเรือมาจะเห็นวิวด้านหน้าติดหาดของรีสอร์ตด้วยครับ

ใช้เวลาอีกไม่นาน ประมาณไม่ถึง 5 นาที กานต์กำลังเพลินอยู่กับการถ่ายรูปน้ำทะเลสีเทอควอยซ์ใสๆ เรือก็นำเรามาเทียบท่าพอดี ท่าเทียบเรือของ Soneva Kiri เรียกว่า The Jetty

กานต์มี Ms. Friday เป็นผู้ดูแลครับ จะพาเรานั่งรถบัคกี้ไฟฟ้าส่วนตัว (Personal Electric Buggies) ซึ่งจะมีชื่อติดไว้ ตรงพวงมาลัย แต่หากใครเคยเข้าที่ Soneva Kiri มาแล้วหนึ่งครั้ง หากมาเข้าพักครั้งต่อไป รถบัคกี้จะมีป้ายไม้คล้ายป้ายทะเบียนติดไว้เป็นการส่วนตัว ดู Exclusive เข้าไปอีก

เอาละครับ เราจะไปที่วิลล่ากันแล้ว มีทั้งหมด 36 วิลล่าที่เรียงรายอยู่ใต้ร่มไม้เมื่อมองจนท๊อปวิวลงมาเสมือนกับว่าวิลลากับป่าไม้และทะเลกลายเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน วิลล่าแต่ละหลังจะกระจายกันไปในโซนต่างๆ Hill บ้าง Ocean บ้าง มีขนาดตั้งแต่ 1 ถึง 6 ห้องนอน แต่ที่แน่ๆ ทุกหลังจะตั้งอยู่ห่างกันเพื่อความเป็นส่วนตัวและมีสระว่ายน้ำอยู่ทุกหลัง โดยมีต้นไม้ใหญ่น้อยโอบล้อมเอาไว้ เรียกได้ว่ามีความเป็นส่วนตัวอยู่สูงมาก

ของกานต์เป็นวิลล่าหมายเลข 17 เป็น type 2 Bedroom Junior Beach Pool Retreat

ยอมรับเลยว่าเป็นวิลล่าที่วิวสวยมาก จนแทบไม่อยากออกไปไหน พร้อมกับสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน มีเดย์เบดริมหาดส่วนตัวด้วยครับ หน้าหาดมีหินค่อนข้างเยอะ อาจจะไม่เหมาะกับการเล่นน้ำ แต่ส่วนนี้กานต์ไม่ค่อยซีเรียสครับ เป็นคนแปลกอย่างหนึ่งคือชอบมาพักผ่อนที่ทะเล แต่ไม่ค่อยชอบเล่นน้ำทะเลสักเท่าไรนัก อยากนอนอ่านหนังสือ ฟังเสียงคลื่น ปะทะลมทะเลพัดเย็นๆ มากกว่า

วิลล่าของผมเป็นแบบ 2 ห้องนอน แยกออกจากกันครับ กานต์พักที่ Master Bedroom เตียงนอนหันหน้าออกไปทางมหาสมุทร บริเวณวิลล่าถูกโอบล้อมด้วยน้ำจากสระ ทำให้อยู่แล้วรู้สึกเย็นสบาย เมื่อเปิดประตูบานเฟี้ยมออกไปจะเป็นเบาะนั่งสีเหลือง การตกแต่งของวิลล่าทุกหลังเป็นไปในโทนเดียวกัน แตกต่างกันที่ขนาดและสิ่งอำนวยความสะดวก สถาปนิกออกแบบให้เน้นการใช้ไม้เป็นองค์ประกอบหลัก อารมณ์แบบ Rustic มีความโมเดิร์นด้วยเครื่องหนังที่ใส่เข้าไป มีกระจกใสเป็นองค์ประกอบรอง

ด้านในเป็นมุมส่วนตัวที่กานต์ชอบมากครับ ทุกเช้าจะชอบมานั่งโซฟาสีส้มตรงนี้ เพราะแดดอ่อนๆ จะลงตรงนี้พอดี ทริปนี้ กานต์หยิบหนังสือ “ความเรียบง่ายไร้กาลเวลา” มาอ่านด้วยครับ เข้ากับคอนเซปต์ของ Soneva Kiri พอดี จริงๆ ห้องนี้มีห้องเอนกประสงค์ จัดเก็บเสื้อผ้า ของใช้ และสามารถแต่งตัว แต่งหน้าได้ที่นี่ครับ มีโต๊ะเครื่องแป้งพร้อมไฟหลอด 6 ดวงสำหรับแต่งหน้า

บริเวณปลายเตียงมีกล่องขนาดใหญ่คล้ายกระเป๋าเดินทางหนังเรียบหรู สามารถเปิดขึ้นมาได้กลายเป็นโทรทัศน์ (ที่ไม่มีสัญญาณ) แต่สามารถชมดีวีดีได้ จากบนเตียงครับ

แต่เอาเข้าจริงเราก็ชมทีวีออนไลน์ได้แหละ …

ส่วนด้านในสุดของวิลล่าจะเป็นโซน Ourdoor ครับ มีตู้ขนาดใหญ่ 2 ฝั่ง ออกแบบได้เก๋มาก คล้ายกับกระเป๋าเดินทางขนาดยักษ์ พร้อม Bathroom Amenities ที่เป็นแบรนด์ของทางรีสอร์ตเองครับ นอกจากนี้ยังมีเบาะขนาดใหญ่สำหรับนอนพักผ่อนได้บริเวณหลังบ้าน เรียกว่าสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันเลยทีเดียว

ถัดจากเดย์เบดนุ่มๆ ด้านในจะเป็นอ่างอาบน้ำกลางแจ้งที่รายล้อมด้วยใบไม้สีเขียวน้อยใหญ่ครับ เป็นความเพลินใจอย่างหนึ่งในการเข้าพักรีสอร์ตหรูที่มีอ่างอาบน้ำ เพราะกานต์ชอบแช่อ่างไป อ่านหนังสือหรือจิบไวน์ฟังเพลง เป็นการ Retreat ตัวเองรูปแบบหนึ่ง จากความเหนื่อยล้า ให้ร่างกายและจิตใจได้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง กานต์ว่าแต่ละคนก็มีวิธีการบำบัดตัวเอง (Self-therapy) ที่แตกต่างกันออกไป อย่างผมชอบไปอ่านหนังสือริมทะเล เป็นวิธีการพักผ่อนอย่างง่ายๆ ให้ผ่อนคลายสบายใจครับ

เอาละ มาดูห้องนอน 2 กันบ้างครับ ไม่อยากเรียกว่าห้องนอนเล็ก เพราะไม่ได้เล็กเลยครับ กลับมีขนาดใหญ่พอๆ กับ Master Bedroom แถมยังแต่งสวยไม่แพ้กันเสียด้วย เปิดประตูบานเฟี้ยมมาจะเป็นชุดโซฟาสีส้มอ่อนๆ ชวนพักผ่อนมากครับ ถัดไปด้านในถึงจะเป็นเตียงนอน ก่อนจะเลี้ยวขวาเข้าไปเป็นมุมแต่งตัว ห้องน้ำ และ Outdoor Shower ครับ

อาหาร จานชามแก้วมีให้ครบครันทุกอย่าง พร้อมบริการชา กาแฟ และผลไม้ครับ

เวลามีความสุข เห็นอะไรก็หิว น่าทานไปเสียหมดครับ

บริเวณชั้นสองของวิลล่า จะเป็นมุมครอบครัวครับ มีโซฟาสีเทอวคอวยซ์ พร้อมหมอนเข้าชุดกัน หันหน้าออกไปทางระเบียง ซึ่งก็มีมุมให้นั่ง (อีกแล้ว) ระเบียงค่อนข้างกว้าง กานต์ว่าถ้าพักกันหลายคน เหมาะแก่การปาร์ตี้เบาๆ และถ้าเราจะมองวิวก็จะเห็นสระว่ายน้ำของบ้านทอดยาวไปจนถึงชายหาดครับ

มาดูบริเวณพื้นที่ Outdoor กันบ้าง เดินลงไปด้านล่างทางริมหาด มีความพิเศษคือมีเดย์เบดพร้อมหาดทรายส่วนตัว ไว้ให้นอนอาบแดดได้อย่างสบายใจ

ข้อดีของพูลวิลล่าและอากาศร้อนๆ คือ เราสามารถว่ายน้ำ นั่งๆ นอนๆ อยู่ริมสระได้ทั้งวันครับ มันเป็นความรู้สึกที่สบายใจอย่างบอกไม่ถูก หลายคนเป็นเหมือนกัน บางทีก็ไม่ได้อยากจะว่ายน้ำหรอก แค่อยากได้สัมผัสกับความชุ่มช่ำก็น้ำ เท่านี้ก็เพียงพอต่อใจแล้ว

วิลล่าบางหลังจะมีสไลเดอร์ด้วย กานต์แอบไปเล่นมาครับ น่าจะเหมาะกับครอบครัวที่มีเด็ก ถ้าเล่นกันหลายคนก็สนุกดีนะครับ แอบแว๊บไปเล่นวิลล่าหมายเลข 21 มา เป็นวิลล่าขนาด 4 ห้องนอนครับ ใหญ่กว่านี้มาก

เช้าวันต่อมา เช้านี้ Ms.Friday นัดเวลาตื่นเช้ากว่าทุกวัน เพราะจะพาไปดำน้ำที่เกาะแร่ดซึ่งอยู่ไม่ไกลจากรีสอร์ตนัก

การขานเวลาของที่ Soneva Kiri ก็มีเอกลักษณ์เฉพาะครับ ทันทีที่เราเข้ามาเหยียบบนเกาะ เวลาของที่นี่จะเร็วกว่าปกติ 1 ชั่วโมง ยกตัวอย่างเช่น หากนัดเจอกันที่ท่าเรือตอน 10 นาฬิกา Soneva Time นั่นคือเวลา 9 นาฬิกาเวลาประเทศไทย นัยเพื่อจะให้แขกผู้เข้าพักได้เข้านอนเร็วขึ้นและตื่นเช้ากว่าปกติ 1 ชั่วโมง ดังนั้น เมื่อไปด้วยกันหลายๆ คนแล้วมีการนัดหมายกันควรปรับนาฬิกาให้ตรงกัน จะได้ไม่สับสนและเข้าใจเหมือนกัน ไม่มีการผิดนัด

10 โมง Soneva เราจะไปขึ้นสปีดโบ๊ทเพื่อไปดำน้ำชมความงามของโลกใต้ทะเลที่ เกาะแรด ซึ่งอยู่ห่างจากเกาะกูดประมาณ 500 เมตร ที่นี่จะเป็นการดำน้ำตื้น Snorkeling และใช้เวลาอยู่กับธรรมชาติอย่างเต็มที่ โดยที Mr.Friday คอยดูแลครับ

เสน่ห์ของเกาะกูดอย่างหนึ่งคือความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรและธรรมชาติครับ เพราะเป็นเกาะสุดท้ายปลายทะเลตะวันออกในจังหวัดตราด การเดินทางอาจจะไม่ได้สะดวกสบายนัก สำหรับรีสอร์ตทั่วไป ยกเว้น Soneva Kiri ที่มีเครื่องบินส่วนตัวบินมาลง แต่นั่นก็ทำให้เกาะกูดและเกาะพื้นบ้านย่านใกล้เคียงยังคงความสวยงามและเงียบสงบจนได้รับการขนานนามให้เป็น “อันดามันแห่งทะเลตะวันออก”

เกาะกูดมีทั้งบรรยากาศของภูเขาและที่ราบสันเขา ซึ่งเป็นต้นกำเนิด สายน้ำ ลำธาร ทำให้เกาะกูดมีน้ำตกหลายแห่ง นอกจากนี้ เกาะกูด ยังมีสถานที่ ท่องเที่ยว ที่เป็นหาดทรายและทะเลน้ำใสมากมาย ที่นักท่องเที่ยวนิยมเดินทางไปพักผ่อนทั้งยังมีป่าชายเลนที่สมบูรณ์ มีแนวปะการัง และปลาสวยงามนานาชนิด กิจกรรมดำน้ำจึงเป็นกิจกรรมที่สร้างความประทับใจให้กับผู้เข้าพัก และที่สำคัญหากเราไปเร็วตามเวลา Soneva Time ก็ทำให้เลี่ยงเรือจากรีสอร์ตอื่นๆ ที่มักจะมากันช่วงใกล้เที่ยงได้อีกด้วยครับ

โลกใต้ทะเลเป็นแดนสนธยาที่งดงามเหลือเกินครับ จริงๆ ใกล้ๆ เกาะกูดมีจุดดำน้ำสวยๆ คือที่เกาะรัง เกาะยักษ์เล็ก แล้วไปนั่งพักเหนื่อยแถวหาดศาลเจ้า ซึ่งกานต์เคยไปมาแล้ว 2 ครั้งครับ ซึ่งก็ตื่นตาตื่นใจเพราะเต็มไปด้วยปลาสวยงามนานาชนิด สัตว์น้ำและปะการังสวยงาม ส่วนแพลนของเราเที่ยงนี้จะไปทานอาหารกลางวันที่ North Beach เลยคิดว่าไม่ไปไกลๆ จะดีกว่า

จากเกาะแรด ใช้เวลาบนสปีดโบ๊ทไม่ถึง 10 นาที เราก็มาถึงที่ North Beach กันแล้วครับ ซึ่งหากใครจะมาจากรีสอร์ตก็แสนสะดวกครับ เพราะมีเรือออกจากท่าเรือของรีสอร์ตมายัง North Beach อยู่ตลอดเวลา คุณผู้หญิงอย่าลืมเตรียมหมวกปีกกว้างและครีมกันแดดมาด้วยนะครับ

รูปนี้ถ้าไม่บอกก็คงไม่รู้ว่านี่เมืองไทย ไม่ใช่มัลดีฟส์ แต่ฟีลได้มาก

North Beach เป็น Exclusive Beach เฉพาะแขกของ Soneva Kiri เท่านั้นครับ

North Beach เป็นศูนย์รวมกิจกรรมทางน้ำมากมาย ไม่ว่าจะเป็นพายเรือคายัค วอลเลย์บอลชายหาด แล่นเรือใบ อยากเล่นอะไรก็แจ้ง Staff ได้ครับ มีคนคอยให้คำแนะนำและดูแลอยู่ตลอดครับ

เหนื่อยจากเล่น Paddle Board ก็มานอนอาบแดดที่เปลกลางทะเลครับ

หาดที่ North Beach ในความเห็นของผมคือสวยงามมากครับ ทรายละเอียดสีขาวขุ่นราวกับแป้ง มีความตัดกันของสีสันโทนเย็นไม่ว่าจะเป็น สีเขียวจากต้นไม้ สีฟ้าจากน้ำทะเล สีขาวของทราย แล้วแซมด้วยสีเหลืองอ่อนๆ ของเดย์เบดชายหาด เสียดายที่มาตอนเที่ยง ถ้ามาช่วงเย็นน่าจะสีเทอวควอยซ์เด่นกว่านี้ 

ที่ไม่ได้อยู่ North Beach จนถึงเย็น เพราะตอนเย็น ผมอยากไปเก็บภาพ Time Lapse ทำวีดีโอพระอาทิตย์ตก ที่ The View ครับ

เป็นไงล่ะ สวยไหมครับ

ภาพมุมสูงที่เห็นเป็นเซ็นเตอร์ของ Soneva Kiri เกาะกูดครับ กิจกรรมและสิ่งอำนวยความสะดวกส่วนใหญ่จะรวมไว้ที่นี่ โดยเฉพาะร้านอาหารที่มีให้เลือกหลากหลาย เพื่อเสริมทัพรับความต้องการของผู้เข้าพักที่มาจากทั่วโลก แขกบางท่านก็พักยาวเป็น Long stay ดังนั้น ทาง Soneva Kiri จึงมีตัวเลือกอาหารที่วาไรตี้ นำเสนอด้วยความลักชัวรี่ ที่มุ่งเน้นคุณภาพของมื้ออาหารนั้นๆให้เป็นมื้อสำคัญ และยังสร้างประสบการณ์ให้เราประทับใจในแต่ละมื้ออาหารอีกด้วย

มื้อเย็น ทานที่ The View ครับ เป็นห้องอาหารแบบ Outdoor ใน Soneva Kiri ตั้งอยู่บริเวณหน้าผาภายที่มองออกไปจะเห็นวิวทะเลเต็มตาครับ มีจุดที่สวยงามโรแมนติกมาก ในช่วงพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า ลมทะเลพัดเย็นๆ ตลอดเวลา เป็นบรรยากาศที่สบายๆ มากครับ

ที่ The View จะให้บริการเป็น a la carte menu ครับ เน้นอาหารยุโรปและ เอเชี่ยนทวิสต์ แต่ก่อนอื่นเลยเสิร์ฟขนมปังอบใหม่ตามธรรมเนียม พร้อมเดรสซิ่ง แยมและเครื่องเทศต่างๆ จากนั้นบริกรเสิร์ฟ Amuse-bouche ส่วนซุป เป็นซุปครีมฟักทองครับ

ส่วนมื้อเย็นของอีกวัน ทานกันที่ Benz’s Restaurant ตรง Dining Room ซึ่งย้ายมาจากด้านนอกที่ต้องปิดไปเพราะโควิด

จากแต่ก่อนเราต้องนั่งเรือออกไปเพราะเป็นร้านอาหาร Stand Alone ตั้งอยู่กลางป่าโกงกาง บรรยากาศดี แต่เมื่อย้ายกลับเข้ามาที่ Soneva Kiri ก็ยังคงมาตรฐานเดิมทุกอย่างครับ เริ่มตั้งแต่ Welcom Drink ที่ยังคงเสิร์ฟเป็นน้ำอัญชัญมะนาวเหมือนเดิม เมื่อบีบมะนาวลงไปก็จะเปลี่ยนสีให้สวยขึ้น จิบให้ชื่นใจก่อนอาหารจะมาเสิร์ฟครับ ที่นี่จัดอาหารไว้เป็น Set เมนูอยู่แล้วไม่มีรายการอาหารให้เลือก ผมว่าเดี๋ยวนี้ร้านอาหารไทยหลายร้านที่เน้นบริการลูกค้าจากนานาชาติ นิยมจัด Set ไว้ให้ เนื่องจากจะได้จัดบาลานซ์ของรสชาติที่ต่างชาติอาจจะไม่เข้าใจได้ลงตัวขึ้น มีเปรี้ยว หวาน เผ็ด เค็ม หนักเบา สลับกันไป ไอเดียนี้ผมว่าดีครับ

แต่ที่พิเศษกว่าร้านอาหารไทยทั่วไปคือ Set เมนูที่ว่าจะเปลี่ยนไปในแต่ละวันไม่ซ้ำกัน ตามแต่ที่ “เชฟเบ็นซ์” ซึ่งเป็น Head Chef ของที่นี่จะไปได้วัตถุดิบสดใหม่อะไรมา ทำให้เมนูอาหารในแต่ละวันค่อนข้างพิเศษ ไม่เหมือนใคร เป็นประสบการณ์ใหม่ที่ออกแบบเฉพาะบุคคลเท่านั้น

ผักบุ้งผัดกะปิ อร่อยมากครับ 

กลางคืนเราไปชม Cinema Paradiso เป็นหนังกลางแปลงท่ามกลางแสงดาว นับเป็นประสบการณ์ที่ดีมาก Soneva Kiri จัดโรงหนังขึงผ้าใบขนาดย่อม มีจออยู่กลางน้ำ พร้อมบริการป๊อบคอร์น เครื่องดื่ม สั่งมานั่งทานบนเบาะนุ่มที่ตั้งอยู่บนอัฒจรรย์ มีหมอนอิง ผ้าห่ม นั่งชมหนังกลางแปลงท่ามกลางดวงดาว กานต์ว่าเป็นการเพิ่มกิจกรรมตอนกลางคืนให้มีสีสันสนุกสนานขึ้นได้ดีครับ

คืนนี้เสนอเรื่อง Slumdog Millionaire

ที่นี่มีร้านไอศครีมให้ทานฟรีแบบไม่อั้นครับ สามารถเลือกรสชาติได้ตามใจ มีให้เลือกประมาณ 30 รสทั้ง Sorbet และครีมนม

ครั้งแรกสั่ง Salted Caramel, Pistachio และ Rum Rasin มาทานครับ ส่วนอีกวันก็มาอีกลองสั่ง Coconut, Strawberry และ Green Tea บ้าง มันช่างแฮปปี้มีความสุขดีจริงๆ นะครับ กับการได้อยู่ท่ามกลางตู้ไอศครีมทำสดใหม่ ทำให้อยากย้ายวิลล่ามาอยู่ใกล้ๆ อยากจะทานทุกรส ทุกเวลา ตามประสาคนรักไอศครีม

ติดกันเป็น So Guilty ห้องเย็นที่เต็มไปด้วยช็อกโกแลตโฮมเมด รสชาติต่างๆ เลือกกันไม่ไหว และมีขนมหวานเช่น มาการอง ให้เลือกด้วย รับรองว่าถูกใจคนรักช็อกโกแลตแน่นอน ที่สำคัญคือทานฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย สามารถทานเท่าไรก็ได้ครับ

Nuetella Chocolate is the best!!

Treepod ก็เป็นอัตลักษณ์หนึ่งที่เราพบเห็นใน Soneva Kiri ครับ มีลักษณะเป็นกระเช้าคล้ายรังนก ซึ่งดูแล้วก็กลมกลืมกับแมกไม้ดีนะครับ บริกรจะทำหน้าที่ยกเราขึ้นไปด้วยลิฟต์ไฮโดรลิกซ์ และใช้ซิปไลน์ในการเสิร์ฟอาหารตรงมาจากครัว (เสียดายที่ถ่ายรูปไม่ทัน) เปิดให้บริการทั้งอาหารเช้า กลางวันและดินเนอร์ รอบละ 2 ชั่วโมง ส่วน Afternoon Tea จะให้บริการรอบบ่าย 1 ชั่วโมง ต้องจองล่วงหน้าเท่านั้นครับ สามารถแจ้งกับ Mr.&Ms.Friday ได้เลย

ใช้เวลาสั้น ในการยกกระเช้าจากพื้นสู่ยอดที่แวดล้อมด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ ด้วยความที่เกาะกูดมีลักษณะเป็นป่าร้อนชื้น ต้นไม้จึงมีใบหนาเป็นพุ่ม คอยทำหน้าที่คลุมแสงแดดให้ลอดมาได้รำไร มีลมเย็นๆ พัดมาพอให้ได้ชื่นใจ การได้นั่งรับประทานอาหาร ชา กาแฟบนยอดไม้ มองออกไปจะเห็นวิวอ่าวไทยที่สวยงาม ตรงข้ามเป็นเกาะแรดที่กานต์เพิ่งไปดำน้ำมา ก็นับว่าเป็นประสบการณ์เลอค่าที่หาได้ยากครับ

ตรงส่วนกลางจะมี Bar และ Pool ให้เราได้สัมผัสบรรยากาศธรรมชาติแบบชิลๆ ลมพัดเย็นสบายตลอดทั้งวัน เหมาะสำหรับคนชอบดื่มด่ำกับเสียงเพลงเบาๆ เคล้าเสียงนกและเสียงคลื่นครับ

Ever So Into Your Morning มื้อเช้าของเรา ถูกจัดไว้ที่ห้องอาหารไดนิ่งรูม (Dining Room) มีให้เลือกทั้งไลน์อาหารบุฟเฟต์ที่จัดไว้เป็นซุ้ม เครื่องดื่มที่วางเรียงรายโดยเฉพาะ Infused Water หรือจะสั่งจากพนักงานก็ได้ครับ รวมถึงมีอาหารบางจาน เครื่องดื่ม ชา กาแฟ สามารถเลือกจากเมนูได้เลย เรื่องมาตรฐานการให้บริการเราคงไม่ต้องเน้นย้ำ เพราะพนักงานที่นี่แม่นยำมาก

มื้อเช้าเราเลือกโต๊ะที่หันหน้าออกไปยังอ่าวไทย เพื่อดื่มด่ำกับความบริสุทธิ์สดชื่นให้เต็มที่ การได้เริ่มต้นวันด้วยบรรยากาศที่ดี กานต์เชื่อว่า จะทำให้ตลอดทั้งวันนี้เป็น Perfect Day ครับ เช้านี้กานต์เริ่มต้นด้วย Lemon Infused Water ตามด้วยน้ำส้มคั้นสดครับ

นอกจากนี้ ยังมีมุมผักผลไม้สด สำหรับคลุกเป็นสลัด หรือทานผลสด หรือจะให้พนักงานสกัดเป็นน้ำผลไม้แยกกาก ดื่มกันสดๆ ตอนเช้าอีกด้วยครับ ถ้ามองด้วยตาเปล่า ผักผลไม้เหล่านี้บางอย่างอาจจะไม่สวยสักเท่าไรนะ แต่ที่เหนือไปกว่านั้น คือเป็นวัตดุดิบที่ปลูกกันเองในสวนของ Soneva Kiri

Signature Dish ของที่นี่ ทั้งสลัดแฮม และ Egg Benedict ซึ่งจัดอยู่ใน Collection เมนูไข่ เลือก Side dish เป็นเบคอนและเห็ดครับ รสชาตเข้มข้นดี ทุกเช้าพยายามลองสั่งเมนูใหม่ๆ มาทานจะได้เปลี่ยนบรรยากาศให้ไม่จำเจ

Soneva Kiri เกาะกูด มีปรัชญาในการดำเนินธุรกิจ คือ “เป็นมิตรและรักษาสิ่งแวดล้อม” ในรีสอร์ตขนาดใหญ่กว่า 400 ไร่แห่งนี้ จึงแทบไม่มีการตัดต้นไม้ ที่สำคัญยังปลูกต้นไม้ใหญ่เข้าไปเพิ่ม ทำสวน ปลูกผัก ผลไม้ ไว้รับประทานภายในรีสอร์ต จัดการระบบน้ำเสีย การนำพลังงานไบโอดีเซลกลับมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด การจัดการระบบนิเวศน์ภายในรีสอร์ตมีครบทั้ง Reduce-Reuse-Recycle จนกลายมาเป็น “Eco Centro” เพื่อการอยู่อาศัยร่วมกับธรรมชาติแวดล้อมอย่างยั่งยืน จนได้รับรางวัล World Travel and Tourism Council’s ‘Tourism for Tomorrow Award มาแล้ว

บรรยากาศของ Eco Centro ซึ่งแบ่งออกเป็นโซนๆ ต่างเป็นไปด้วยความเรียบง่าย เราอาจจะไม่ได้เห็นแปลงเกษตรที่ตรงกันเป๊ะ เพราะที่นี่ปล่อยให้ธรรมชาติได้ทำหน้าที่ของมันเอง โดยมีมนุษย์เราคอยดูแล เพื่อให้เกิดสมดุลย์ บางทีต้นหม่อน หรือมัลเบอร์รี่ก็มาอยู่ใกล้กับต้นกล้วย ถัดไปด้านในเป็นต้นโกโก้ที่กำลังเริ่มปลูก

แปลงผักสวนใหญ่เป็นผักที่นิยมรับประทานกันในร้านอาหารของรีสอร์ตอยู่แล้ว เช่น ใบกะเพรา พริก ตะไคร้ สาระแหน่ โหระพา คะน้า ผักกาด ผัดร็อกเก็ตสลัด วอเตอร์เครส หรือต้นเป็ดน้ำ และอีกมากมาย เรียงรายกันอย่างอบอุ่น ผักที่นี่ไม่มีสารเคมีแต่มีความออร์แกนิกส์ครับ แต่ใส่ปุ๋ยที่ได้มาจากเศษขยะในแผนกครัว ซึ่งมีมากกว่า 5,000 กิโลกรัมต่อเดือน ขยะสดเหล่านี้ถูกนำไปแปรสภาพกลายเป็นปุ๋ยหมัก เพื่อนำไปใช้บำรุงพืชผัก ผลไม้ที่ปลูกภายในรีสอร์ต นอกจากจะ ได้ผักผลไม้ที่มาจากธรรมชาติ แถมยังประหยัดหยัดงบประมาณในการซื้อปุ๋ยอีกด้วย

ซึ่งในแต่ละวัน เชฟแต่ละห้องอาหารก็จะสรุปว่า ต้องการพืช ผัก ผลไม้ ชนิดใดบ้าง จากนั้น แผนกสวนก็จะจัดเก็บและแพ็กเตรียมใส่กล่องไว้ให้กระจายกันไปตามความต้องการ

ขณะที่การบริหารจัดการของเสียต่างๆ มีการนำไปบำบัดใหม่โดยไม่ทิ้งลงทะเลให้กลายเป็นมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม (Waste-to-Wealth) น้ำเสียทั้งหมดที่เกิดขึ้นในรีสอร์ตจะถูกนำมาบำบัดด้วยอ๊อกซิเจนจุลินทรีย์ที่มีคุณภาพหรือ EM ในบ่อชีวภาพขนาดใหญ่ 4 แห่ง ที่มีระดับการกรองต่างกัน จนทำให้กลายเป็นน้ำดีที่สามารถนำกลับไปใช้รดน้ำต้นไม้และเลี้ยงปลาได้

ส่วนที่เป็น ส่วนน้ำมันเก่าที่เหลือจากการใช้ในครัว และน้ำมันเก่าที่ชาวบ้านในชุมชนเอามาขายให้ ทาง Soneva Kiri ก็ได้นำมาเข้าเครื่องกลั่นกลายเป็นไบโอดีเซล เพื่อแปรรูปนำกลับมาใช้กับเครื่องตัดหญ้าได้อีก

ที่นี่ยังมีโรงกรองน้ำของตัวเองด้วยระบบรีเวิร์สออสโมซิส ที่ผ่านการตรวจสอบคุณภาพ เพิ่มแร่ธาตุและก๊าซเพื่อผลิตน้ำดื่มให้กับแขกในห้องพักและในห้องอาหาร ซึ่งจะบรรจุใส่ขวดแก้วเท่านั้น ไม่มีการใช้ขวดพลาสติก เราสามารถขอน้ำเปล่าและ Spakling Water ได้ตลอดทั้งวัน ส่วนขวดที่เก่าและไม่ได้ใช้ จะถูกนำไปทำเป็นแปลงไม้ประดับสวน

ในห้องนอนทุกวิลล่า จะมีสัญลักษณ์ของ Soneva วางอยู่ เพื่อสื่อสารกับผู้เข้าพัก หากไม่ต้องการเปลี่ยนผ้าปูที่นอน ก็สามารถแจ้งได้ เพื่อเป็นการลดการใช้ทรัพยากรในการทำความสะอาด เข้าคอนเซปต์รักษ์โลก เพราะเอาเข้าจริงๆ เราไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนผู้ปูที่นอนทุกวันหรอกครับ

จากการเดินทางไปพักผ่อนตามโรงแรมรีสอร์ตต่างๆ มาทั่วโลกของผม น้อยมากที่จะได้เห็นวิธีการจัดการสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนเช่น Soneva Kiri นี้ ผมเชื่อว่า Soneva Kiri น่าจะเป็นหนึ่งในรีสอร์ตไม่กี่แห่งในโลกที่เน้นความยั่งยืนและนำไปใช้อย่างจริงจังทั่วทั้งรีสอร์ต เผื่อแผ่ไปยังชุมชนต่างๆ บนเกาะกูดด้วย

คุณค่าและประสบการณ์ต่างๆ ที่ได้รับจาก Soneva Kiri ช่างเป็นไปตามแนวคิด “Intelligent Luxury” ที่ทาง Soneva นำตีความใหม่และใช้ในการขับเคลื่อนความคิดสร้างสรรค์ต่างๆ ในการทำธุรกิจรีสอร์ตครับ

คำว่า “หรูหรา” ดูเป็นนามธรรมที่ยากจะทำให้เกิดได้ เพราะไม่ใช่แค่การนั่งเครื่องบินส่วนตัว เมนูอาหารที่เสิร์ฟคาร์เวียร์ นอนหนุนหมอนผ้าไหมบนผ้าปูที่นอนทอจากเส้นดาย 1,500 เส้น แต่กลับเป็นความหรูหราจากธรรมชาติที่เกิดขึ้นในจิตใจของเรา เป็นความรู้สึกใหม่ที่ตอบคำถามได้ว่า มนุษย์กับธรรมชาติเป็นสิ่งเดียวกัน Soneva Kiri นำเสนอหลักการนี้จนกลายเป็นประสบการณ์ “ใหม่” ที่ได้สร้างเรื่องราวและความทรงจำที่มีคุณค่าในชีวิตของแขกผู้เข้าพักได้อย่างลึกซึ้งมากครับ ดังนั้น การเข้าพัก Soneva Kiri จึงไม่ใช่แค่การเข้าพักแค่ครั้งเดียว แต่เป็นความผูกพันอันเกิดจากประสบการณ์ที่แบรนด์ Soneva ตั้งใจคัดสรรและมอบให้นั่นเองครับ

KΔNT
KΔNT

อดีตผู้ประกาศข่าวสายเศรษฐกิจ เจ้าของเพจ KANT.CO.TH ชื่นชอบในไลฟ์สไตล์ การท่องเที่ยวพักผ่อน ในโรงแรมหรู สนใจเรื่องราวงานดีไซน์ อสังหา การตลาด การลงทุน