SIGNATURE BANGKOK at VIE HOTEL

Fine Dining French-Cuisine เชฟมิชลิน 2 ดาว🌟🌟

คิวดินเนอร์จองยาวทุกคืน มาแรงที่สุดในเวลานี้‼️

SIGNATURE BANGKOK at VIE HOTEL

______________________________________

ชื่อของเชฟ Thierry Drapeau (เทียร์รี่ ดราโป) ดังในหมู่นักกิน เพราะได้มิชลิน 2 ดาวถึง 9 ปีซ้อน ก่อนจะมาเปิดร้านที่กรุงเทพ พร้อมคอนเซปต์การเดินทางของหมู่มวลดอกไม้ที่กลายเป็นจุดขาย หรือจะเรียกว่า The Signature of Signature Bangkok ก็ว่าได้ครับ

อาหารเป็นสไตล์ French-Cuisine วัตถุดิบส่วนใหญ่นำเข้าจากฝรั่งเศสและเน้นให้เป็นไปตามฤดูกาลเพื่อความสด ใหม่ หลากหลาย แต่ละจานตกแต่งด้วยดอกไม้ทำให้มีชีวิตชีวา เพิ่มสุนทรียรสในการรับประทาน

เหนือสิ่งอื่นใดกานต์ชอบคอนเซปต์ในการนำเสนอมากว่า เปรียบเสมือนละครโรงเล็ก ที่เริ่มจากการมานั่งพักผ่อนในเปียโนเล้าจน์ จิบเครื่องดื่มเบาๆ ทานอาหารเรียกน้ำย่อย 4 Courses เล็กๆ พอดีคำ

ก่อนการแสดง เอ๊ยย!! ก่อนการเริ่มปรุงอาหาร พนักงานจะเชิญเราไปนั่งที่โต๊ะ มีเสียงเคาะระฆังดังขึ้น เพื่อเป็นสัญญาณบอกว่า เชฟจะเริ่ม ณ บัดนี้ จากนั้น ม่านกำมะหยี่สีน้ำเงินจะถูกเปิดออก เป็นภาพทีมเชฟ ยืนเรียงแถวสวัสดี นำแสดงโดย เชฟ Thierry Drapeau พระเอกชาวฝรั่งเศส กล่าวทักทาย ก่อนที่มหรสพในครัวจะเริ่มบรรเลงเพลงโดยมีกะทะ ตะหลิว เครื่องครัวเสมือนเครื่องดนตรีชั้นเลิศ

#สนุกมาก” เป็นประสบการณ์ทาน Fine Dining ที่เก๋ได้ใจ นอกจากเราจะนั่งเอนกเขนกอยู่ที่โต๊ะชม live cooking show เบื้องหน้า ดูทีมเชฟร่วมบรรเลงเพลงครัวกันอย่างสนุกสนาน เชฟแถมยังเชื้อเชิญให้เราเดินไปถ่ายรูปตอนปรุงอาหารได้อีก ห้องครัวสวยมาก กานต์ถ่ายภาพมาฝากเยอะเลยครับ

เชฟโชว์ลวดลายพริ้วไหวลงในแต่ละจานได้อย่างงดงาม มีกิมมิคสอดแทรกลงแต่ละเมนูเพิ่มความตื่นเต้นเข้าไปอีก จบมื้อด้วยของหวานที่สามารถเลือกเอากลับไปทานต่อที่บ้านได้เป็นของที่ระลึก

คืนนี้พักที่ VIE Hotel Bangkok, MGallery ห้อง VIE Penthouse Suite 2 อยู่ชั้นบนสุดของโรงแรมครับ ห้องกว้างใหญ่และตกแต่งได้สวยมาก วิวจากกระจกใสโดยรอบคือดีย์ ได้เห็นกรุงเทพในมุมที่แปลกตากว่าที่เคย

VIE เป็นโรงแรมที่สวยมาก ดูจากภายนอกเหมือนไม่มีอะไรน่าสนใจ แต่พอเข้ามาด้านในเป็นคนละเรื่องกับที่คิดเลยครับ การตกแต่ง ดีเทลตั้งแต่ล็อบบี้ เล้าจน์ ห้องพัก คือว๊าวมาก สมมงกับความเป็น MGallery ที่ Accor ปั้นขึ้นเป็น Category สำหรับคนที่ชอบ Design Hotel อยากให้มาลองพักผ่อนที่นี่กันครับ

VIE Hotel Bangkok, MGallery เป็นโรงแรมหรูที่มีมง MGallery แปะไว้ เพื่อบอกว่าเป็นโรงแรมที่มีดีไซน์เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว เหมาะแก่การพักผ่อนสำหรับคนที่มีสไตล์ มีด้วยกัน 26 ชั้น บนสุดเป็นเพนท์เฮ้าส์ที่เราจะมาพักกันในคืนนี้

เดินทางสะดวกมาก ถ้าขับรถมาก็มีที่จอดรถหลายชั้น หรือใครอยากมา Staycation ง่ายๆ นั่งรถไฟฟ้า BTS มาก็ได้ครับ ลงสถานีราชเทวี เดินต่อมาอีก 10 วินาที ถึงโรงแรมเลย

ตอนนี้โรงแรมมีโปรโมชั่น Memorable Michelin Moment เข้าพักพร้อมรับประทานอาหารระดับมิชลินสตาร์ 2 ดวง โดยเชฟชาวฝรั่งเศส Thierry Drapeau

สัมผัสมื้ออาหารระดับมิชลิน ที่ Signature พร้อมห้องสวีทสุดหรู ที่ โรงแรม วี กรุงเทพฯ ดื่มด่ำประสบการณ์การการรับประทานอาหาร “จากหมู่มวลดอกไม้” พร้อมเติมเต็มวันพักผ่อนด้วยห้องดีลักซ์สวีทสุดหรู เพดานสูงโอ่อ่า ชมทิวทัศน์เส้นขอบฟ้าอันงดงามของกรุงเทพ ฯ พร้อมอาหารเช้า

________________
ระยะเวลาการสำรอง : วันนี้ – 28 กุมภาพันธ์ 2564
ระยะเวลาเข้าพัก: วันนี้ – 30 เมษายน 2564
________________
ดูรายละเอียดแพ็กเกจเพิ่มเติมได้ ที่นี่: https://bit.ly/3qHxJin

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร. 02-309-3939
อีเมล H6469-RE1@accor.com

เชฟ Thierry Drapeau น่ารักมาก ยิ้มตลอดเวลา ท่าทางเป็นกันเอง Nice สุดๆ

หลังจากทานอาหารเสร็จ ผมขอถ่ายรูปกับเชฟเป็นที่ระลึก เชฟยินดีมาก พร้อมกับเซ็นต์ชื่อลงบนเมนูการ์ด มาให้ด้วย ปลื้มสุดๆ

การเดินทางบนจานอาหารที่เต็มไปด้วยหมู่มวลของดอกไม้ทริปนี้ของกานต์ เริ่มต้นที่ชั้น 11 โรงแรม VIE ครับ

ประตูทางเข้าสีฟ้าตัดกับไฟสีเหลืองจากห้องเก็บไวน์ เป็นการเลือกจับคู่สีที่เข้ากันได้ดีครับ

เดินเข้ามาภายในเป็นเปียโนบาร์ แต่ว่าช่วงนี้ ขอความร่วมมือไม่ให้มีการแสดงหรือเล่นดนตรี โรงแรมเลยงดไปก่อน แต่ก็เปิดเพลงเบาๆ คลอไป ตรงกลางโถงห้องเป็นดอกไม้ซุ้มใหญ่ประดับไว้ เพิ่มความอลังการ

อีกด้านเป็น Wine Cellar มีไวน์จากทั่วโลก รวมถึงไวน์ไบโอไดนามิคที่ดีที่สุดของกรุงเทพฯ ถูกคัดสรรมาจากโรงบ่มไวน์ขนาดเล็กที่เน้นคุณภาพเป็นหลัก แต่ว่าช่วงนี้ห้องอาหารยังงดเสิร์ฟแอลกอฮอลล์อยู่ครับ

มานั่งในเปียโนเล้าจน์บรรยากาศสบายๆ relax สักพักจจากการเดินทาง จากนั้น Théo Lavergne ซึ่งเป็น Head Sommelier ของที่นี่ ดีกรี Sommelier จากร้าน Le Clarence ระดับ 2 ดาวมิชลินในปารีส

Théo คุยสนุกมาก เล่าเรื่องไวน์ได้อย่างน่าสนใจ จากนั้นเขาได้เสิร์ฟ Mocktail ที่ครีเอทขึ้นมาใหม่ ให้เป็น Welcome Drinks เป็นเครื่องดื่มสีแดงสด ท๊อปด้วยเอสพูม่า โรยหน้าด้วยดอกไม้เคลือบน้ำตาล ทานเข้าไปได้กลิ่นดอกไม้ infuse และสมุนไพรอ่อนๆ หอมมาก

ส่วน คานาเป้ มีเสิร์ฟมาเป็นอาหารเรียกน้ำย่อย มีด้วยกัน 4 อย่าง ดีไซน์ออกมาเป็นสวนเล็กๆ ตามคอนเซปต์ เพราะเชฟชอบปลูกดอกไม้ แล้วนำมาทำเป็นส่วนประกอบในจาน

เริ่มจากครีมที่เสิร์ฟมาในแก้วช็อต มีส่วนผสมหลักจากทรัฟเฟิล แล้วค่อยทานพาเมซาน ซอฟท์ชีส เป็นคำถัดไป เชฟได้เพิ่มความนุ่มของพาเมซานด้วยการใส่นมเข้าไปเล็กน้อย เคลือบด้วยเฮเซลนัทและแบล็กทรัฟเฟิลอร่อยดีครับ

คำต่อไปจะเป็น Traditional Base ไส้แบล็กทรัฟเฟิลสไลด์ และ Cottage Cheese ส่วนฐานเป็นทาร์ตที่มีส่วนผสมของแบล็กทรัฟเฟิลและเห็ดแชมปิญอง

ปิดท้ายด้วย ลูกบอลสีดำที่ต้องทานทั้งคำในปาก ห้ามกัดก่อน เพราะจะมีน้ำอยู่ด้านในคล้ายกับเสี่ยวหลงปง แต่เป็นแบล็กทรัฟเฟิล จูซ นุ่มๆ หอม สดชื่นมาก ช่วยเคลียร์พาเลตในปากก่อนเริ่มเข้าสู่การทานอาหารจานหลักต่อไป

เมื่อได้เวลาบริกรจะเชิญเราไปนั่งที่โต๊ะด้านใน มองไปรอบๆ จัดวางโต๊ะได้ห่างแบบเป็นส่วนตัว มีให้เลือกหลายมุมเลยครับ เน้นความเรียบหรู และอบอุ่น เหมือนมาทานอาหารค่ำที่บ้านเพื่อน แต่ก็มีมุมพิเศษสำหรับคู่รักอยู่นะ

การออกแบบร้านทำได้สวยดีครับ

แคมเปญใหม่ของ Signature Bangkok ถือว่าโอเคเลยนะ เหมาะสำหรับใครที่มาเป็นคู่ ดูวิวไป ทานอาหารไป คุยกันไป ได้อรรถรสดีจัง แถมยังได้ห้องพักอีกคืนหนึ่งด้วย

แต่!! วันวาเลนไทน์นี้ โต๊ะถูกจองเต็มหมดแล้วนะครับ

Signature Bangkok เปิดเวลา 18:00 – 21:00 น. ของทุกวันพุธ – วันอาทิตย์ (ปิดทุกวันจันทร์ และวันอังคาร) จำกัดจำนวนที่นั่งเพียง 30 ท่านต่อคืน

สำรองที่นั่งล่วงหน้าที่
https://signaturebangkok.com/book-a-table/

หรือแอด Line https://bit.ly/3ql8Jyn

เมื่อเสียงเคาะระฆังดังขึ้น เป็นสัญญาณว่า การเดินทางของมื้ออาหารพร้อมแล้ว ผ้าม่านกำมะหยี่สีน้ำเงินถูกเปิดออก เป็นภาพทีมเชฟ ยกมือสวัสดีแขกที่มาทานอาหารในคืนนี้ รู้สึกอบอุ่นดีมากครับ

ครัวจะเป็น Open Kitchen มองเห็นการปรุงอาหารแบบไม่มีอะไรกั้น เราสามารถเดินเข้าไปชมการทำอาหารและถ่ายรูปได้เลย เป็นฟีลลิ่งที่ดีและสนุกมาก อินเนอร์มาเต็ม

เชฟ Thierry Drapeau มิชลินสตาร์ 2 ดาวจากร้าน Thierry Drapeau Logis de la Chabotterie ในเมือง Saint-Sulpice-le-Verdon ที่ฝรั่งเศส บ้านเกิดของเชฟเอง

เชฟ Thierry เกิดที่เมืองน็องต์ แถบลุ่มแม่น้ำลัวร์ ซึ่งเป็นเมืองที่มีชื่อเสียงทางด้านอาหารและไวน์เป็นอย่างมาก ด้วยประเพณีเเละวัฒนธรรมการทำอาหารของครอบครัว บวกกับการเติบโตมนภูมิภาคที่เต็มไปด้วยวัตถุดิบชั้นเลิศที่ได้จากธรรมชาติแบบสดมาก เชฟได้เป็นลูกมือช่วยพ่อของเขาซึ่งทำหน้าที่เป็นเชฟประจำบ้าน ฝึกทำอาหารมาตั้งแต่เด็ก จนทำให้ Thierry ได้เป็นเชฟตั้งแต่อายุยังน้อยคือ 21 ปีเท่านั้น และผ่านการฝึกปรือฝีมือจากเชฟผู้มีชื่อเสียงมากมาย ทำให้มีประสบการณ์และมาตรฐานสูงมาก ยากจะหาใครเทียบได้

ระหว่างที่รออาหารจานแรก ผมนั่งมองดูราวกับตัวละครที่มีชีวิตกำลังโลดแล่นอยู่ในฉากใหญ่ที่เซ็ตไว้เป็นครัวอาหารฝรั่งเศส เพลินมากครับ

ลืมภาพความวุ่นวายโช้งเช้งตามครัวของร้านทั่วไปได้เลย เพราะที่นี่เงียบมาก เราจะได้ยินเพียงคำว่า “Yes, Chef” เท่านั้น คลอไปกับเสียงเพลงที่เปิดภายในร้านเบาๆ นั่นหมายถึงการบริหารจัดการภายในครัวที่ดีมาก

ผมเดินเข้าไปในครัว บรรยากาศและการออกแบบตกแต่งภายในครัวสวยมาก กลมกลืนกับที่นั่งทานด้านนอก ราวกับเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน เชื่อมต่อความสัมพันธ์ระหว่างคนทำกับคนทาน ด้วยอาหาร 5 Couses ที่กำลังจะทยอยเสิร์ฟหลังจากนี้

เชฟแต่ละท่าน จะทำหน้าที่ของตัวเองอย่างดี ราวกับนักแสดงที่ตีบทแตก สมบทบาทมาก ทว่านี่คือชีวิตจริง เรื่องราวจริง ที่ถ่ายทอดผ่านอาหารแต่ละจานได้อย่างปราณีต

กระจกเงาบานใหญ่ ติดเอาไว้มุมบน ด้านหลัง เพื่อสร้างมิติภายในห้องครัว ราวกับเป็นเทคนิคของละครเวทีที่มีการสลับฉากเปลี่ยนซีนอยู่ตลอดเวลา ทำให้เกิดมุมมองใหม่ๆ ที่เก๋ดีครับ

อาหารจานแรกมาแล้ว (แต่ยังไม่นับรวมในคอร์ส เป็นอาหารเรียกน้ำย่อย) จัดจานมาสีสันสดใสเชียว จะเรียกว่าเป็นรวมมิตรบีทรูทก็ว่าได้ ทั้งจานเชฟจะใช้บีทรูทเป็นวัตถุดิบหลัก ซึ่งเชฟจะทำในลักษณะที่แตกต่างกัน ออกมาเป็นหลาย texture มาก เพื่อให้แขกได้ทานหลายๆ แบบ หลายๆ รสชาติ

การทานเริ่มจากบีทรูทเพิล์ดที่อยู่ในช้อนก่อน จากนั้น ตามด้วยส่วนตรงกลางจานเลือกทานได้หลากหลาย ทั้ง Pickled Beetroot บีทรูทดองมีทั้งสีม่วงและสีเหลือง

Beetroot Sponge ด้านบนราดด้วยซอสบีทรูทอีกที เสิร์ฟคู่กับบีทรูทลีฟ ทำมาจากน้ำของบีทรูทอีกที ด้านใต้เป็นบีทรูทพาวเดอร์

ปิดท้ายจานนี้ด้วย Beetroot and Raspberry Sorbet เป็นการเคลียร์พาเลต ก่อนทานจานต่อไป

จากนั้น บริกรเสิร์ฟ Brioche ซึ่งเป็นขนมปังฝรั่งเศส เนื้อแน่น กรอบนอกนุ่มใน เสิร์ฟคู่กับเนยฝรั่งเศสแท้ยี่ห้อโปรดของผมเองคือ Elle&Vire มีด้วยกัน 2 แบบคือ เนยเค็มปกติ และอีกแบบคือ Smoked Butter สูตรลับของเชฟ อร่อยกว่าเดิมขึ้นไปอีก จนต้องขอเนยเพิ่ม

อาหารจานแรกใน Le Grand Bouquet คือ Blue Lobster ล็อบสเตอร์สีน้ำเงินชั้นเยี่ยมจากแคว้นบริตตานี ในประเทศฝรั่งเศส ซึ่งเป็นแหล่งที่ซีฟู๊ดอุดมสมบูรณ์มาก เนื่องจากติดกับมหาสมุทรแอตแลนติค น้ำมีอุณหภูมิที่เหมาะสมไม่เย็นเกินไป มีความอบอุ่นกำลังดี เชฟนำล็อบสเตอร์ไป slow cook แล้ว deep fried เล็กน้อยเพื่อเพิ่มความกรอบ เสริมรสด้วยแตงกวาและเซอรารี่ ล้อมรอบจานด้วยดอก Oxalis สีม่วงเข้ม จากสวนของเชฟเอง นำมาปรุงรสด้วยซอสแบบไทยๆ และคาราม่าครีมจากหัวล็อบสเตอร์ เข้าคู่กันได้เป็นอย่างดี

Foie Gras from South West นำเข้าจากเมืองน๊องต์ ซึ่งเชฟนำไป Pan Fried และจะราดด้วยซอสที่ทำจากเป็ด โรยด้านบนด้วยทรัฟเฟิล เป็นพิเศษจากเชฟสำหรับคุณกานต์โดยเฉพาะ

ด้านข้างเป็น Butternut Puree โดยด้วยเมล็ดฟักทองด้านบนอีกที และมีซิตรัสเยลลี่อีกทีเพิ่มความสดชื่น

จานต่อมา ตั้งชื่อได้ เก๋ดี Fisherman Friend “Laurent Daniel” เข้าใจว่าแดเนียล เป็นชื่อเพื่อนของเชฟที่อยู่ฝรั่งเศส เป็นชาวประมงที่ยังคงหาปลาด้วยวิธีแบบดั้งเดิม เพื่อรักษาระบบนิเวศน์ เพิ่มความอุดมสมบูรณ์ ดังนั้น ปลาที่นำเข้ามาจากฝรั่งเศสแต่ละวันจะไม่เหมือนกันแล้วแต่ว่าแดเนียลจะจับได้ปลาอะไร

อย่างจานนี้เป็นปลาตาเดียว นำไป slow cook ด้านในเป็นเห็ดแชมปิญองสับ เสิร์ฟคู่กับซอสที่เคี่ยวจากหัวหอม นำไปปั่นจนเป็นโฟม ซอสหัวหอมให้รสหวานเข้าคู่กับปลาได้ดีมาก เชฟนำเห็ดพอร์ชินี ซึ่งถือเป็นราชาเห็ดเพราะหายาก มีกลิ่นหอมเฉพาะตัว รสชาติหวานกรุบ แสนอร่อยอันเป็นเอกลักษณ์ ด้านข้างเป็นพานาคอตต้าเห็ดและทรัฟเฟิลพาวเดอร์

พิเศษคือมีทรัฟเฟิลสไลด์ เชฟนำมาเพิ่มให้คุณกานต์อีกด้วยครับ

ข้าครัวไปถ่ายรูปเชฟกำลังเตรียมอาหารจานต่อไป ชื่อว่า Douttry From “Bresse” ซึ่งเบรสเป็นไก่พันธุ์พื้นเมืองของฝรั่งเศส ว่ากันว่าเบรสเป็นไก่ที่อร่อยที่สุดในโลก

โดยเชฟได้นำไก่ทั้งในส่วนของ อก, ขา และน่อง ไปอบมาสุกกำลังดี ได้เนื้อไก่ที่นุ่มฉ่ำแน่น หวานอร่อยมาก ทานคู่กับเยรูซาเล็ม อาร์ติโชค รีซอตโต้ ละมุนลิ้นเข้ากันดีมาก

จานนี้เป็นของหวานครับ แต่ไม่มีในเมนู จะเป็นเซอร์ไพรส์ที่เชฟนำมาเสิร์ฟให้ เป็นโยเกิร์ตยี่ห้อ BEILLEVAIRE จากยุโรป นำมาเข้าคู่กับมะม่วง ผลไม้แบบไทย ด้านล่างเป็นบิสกิต ออนท๊อปด้วย Mango Sorbet เพิ่มความสดชื่นแบบเป็นธรรมชาติ รสชาติหวานๆ เปรี้ยวๆ ฉ่ำๆ สดชื่นดีครับ ผมชอบมากจานนี้

จานของหวานจานหลักชื่อว่า “The Treat” ทำจากเฮเซลนัทคาราเมลมูส ช็อคโกแลต ตกแต่งด้วยใบไม้ที่ทำจากมันฝรั่ง ในจานมีเชอรี่สดและเชอรี่คอมโพสใส่มาให้ทานเข้าคู่กันด้วยเพื่อเพิ่มรสเปรี้ยว ส่วนถ้วยเล็กเป็นไอศกรีม White Truffle มีครัมเบิลเป็นส่วนประกอบ ต้องทานก่อนเดี๋ยวจะลาย ส่วนตัวปิดท้ายที่เก็บไว้ค่อยทานคือเชอร์รี่ที่อยู่บนต้น จะให้รสชาติเปรี้ยวเคลียร์พาเลตในปาก เป็นการจบสิ้นมื้ออาหารนี้โดยสมบูรณ์ทั้ง 5 Courses

แต่เดี๋ยวก่อน!! ยังไม่หมดแต่เพียงเท่านี้ เชฟมีเซอร์ไพรส์อีกแล้วครับ เหมาะสำหรับ Chocolate Lover เพราะนำเสนอมาเป็นรูปไข่ที่ต้องโยนลงมาให้แตกบนโต๊ะ ด้านใส่สอดไส้ช็อคโกแลต เชอร์รี่และดอกไม้อบแห้งเคลือบน้ำตาลและยังมีต้นช็อคโกแล็ตในกระถางทานได้ เป็นกิมมิคที่น่ารักมาก

ก่อนกลับ ยังมีเซอร์ไพรส์ในเซอร์ไพรส์อีก เชฟจะเข็นรถเข็นออกมา ซึ่งเต็มไปด้วยขนมหวาน ให้เราทานต่อที่ร้าน หรือจะเอากลับไปทานที่บ้านก็ได้ มีทั้งแบล็กแอน์ดไวท์ช็อคโกแล็คเค้ก มาร์ชเมโลว์ เจลลี่ มาการอง ขนมปัง เยอะมากเลือกไม่ไหว สุดท้ายได้เป็นมาการองมะพร้าวมาชิม

เป็นการปิดท้ายคืนที่แสนพิเศษนี้ได้อย่างสมบูรณ์ครับ นับเป็น Fine Dining ที่ดีมาก

เข้าห้องของเราดีกว่า คืนนี้พัก VIE PENTHOUSE SUITE หมายเลข 2 ครับ จากทั้งหมด 3 ห้อง อยู่ชั้นบนสุดของโรงแรม

ห้องกว้างมาก ขนาด 114 ตารางเมตร ได้ J+H Boiffils มาออกแบบตกแต่งภายในทำให้ห้องหรูหรามาก ด้านหน้าเป็นมุมสำหรับแขกมีพาวเดอร์รูมไว้รองรับ ก่อนจะเข้ามายังมุมรับแขกด้านใน ตกแต่งด้วยไม้พร้อมโทนสีเอิร์ธให้ความรู้สึกอบอุ่น

เพนท์เฮ้าส์ทั้ง 3 ห้องจะตกแต่งแตกต่างกันไป โดยห้องนี้จะมีไฮไลท์คือบันไดชั้นหนังสือที่สูงจรดเพดาน เพิ่มความอลังการเข้าไปอีก เพราะตัวห้องก็เป็นดับเบิ้ลวอลลุ่มอยู่แล้ว เทียบกับตัวผมคือตัวเล็กไปเลย

ไฮไลท์ของห้องนี้ คือวิวที่หันไปทางทิศตะวันตกเฉียงเล็กน้อย ซึ่งมีข้อดีคือไม่มีตึกสูงมาบังวิว ทำให้เห็นกรุงเทพในมุมที่ค่อนข้างโล่ง และมองออกไปได้ไกล เวลายามเย็นเป็นบรรยากาศที่ดีมาก

ผมถ่ายวิวจากห้องพักมาให้ชมกัน มองเห็นย่านราชเทวี เชื่อมต่อสะพานขาว ยาวไปเรื่อยๆ ถึงราชดำเนิน พระราม 8 เป็นภาพกรุงเทพที่สวยมากครับ

ห้องนี้เป็นกระจกโดยรอบทำให้ได้แสงสวยดี ขออนุญาตถ่ายภาพเก็บไว้หน่อยเป็นที่ระลึก

ถัดไปด้านในเป็นมุมโต๊ะทำงานขนาดย่อมพร้อมอุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครัน กลายเป็นผมนั่งตรงนี้เป็นหลัก เพราะไม่ค่อยดูทีวี นั่งทำงานไปเรื่อยๆ มองวิวไปก็สวยดี เหมาะแก่การมา Workation ที่นี่มาก

โต๊ะรับประทานอาหารขนาดใหญ่ แต่มีเก้าอี้จัดเอาไว้ 4 ที่นั่ง หากมีแขกมาทานข้าวแล้วไม่พอก็แจ้งบัทเลอร์ประจำฟลอร์ ให้คอยอำนวยความสะดวกให้ได้ ด้านหลังเป็นมินิบาร์แต่ว่าไม่ได้จัดเตรียมอะไรไว้มากเป็นพิเศษ นอกเหนือไปจากชา กาแฟและน้ำเปล่า

เราสั่ง Afternoon Tea มาดื่มบนห้อง รับบรรยากาศดีๆ ช่วงบ่ายๆ ครับ “Tea to the English is really a picnic indoors”

Afternoon Tea เสิร์ฟมาเป็นเซ็ทอลังการมาก ทานบนห้องก็ได้ หรือจะลงไปนั่งที่ Piano Bar ชั้นล่างก็บรรยากาศดี จองโต๊ะได้ที่ 02-309-3939

ห้องน้ำของเพนท์เฮ้าส์สวีทคือไฮไลท์ Amenity ในห้องน้ำเป็นแบรนด์ของโรงแรมเอง นอกจากจะกว้างขวางพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันแล้ว ….

วิวคือสวยมาก ตายไปเลย เชื่อว่าหลายคนเคยฝัน อยากแช่อ่างชมวิวบนตึกสูงแบบไม่มีอะไรกั้น ให้มันเป็นพื้นที่ส่วนตัวของเรา …. บรรยากาศมันก็จะดีหน่อยแบบนี้แหละ

วิวจากอีกด้านของตึกในห้องเพนท์เฮ้าส์สวีท 2 มองไปเห็นสี่แยกราชเทวี พร้อมความคึกคักของกรุงเทพยามราตรี ที่สวยด้วยแสงสีของไฟ

ด้านในเป็นห้องนอนขนาดใหญ่ ตกแต่งแบบเรียบง่าย หมอนจะเยอะไปไหน แต่ชอบดีไซน์ของหมอนที่นำมาตกแต่งดูร่วมสมัยดี

พรุ่งนี้เช้าเราจะตื่นนอนพร้อมวิวเมืองหลวงแบบนี้ แต่ในห้องไม่ได้ยินเสียงอึกทึกจากด้านนอกเลยนะครับ นับว่าออกแบบอาคารได้ดีมาก

ไฮไลท์อีกอย่างของ VIE Hotel คือสระว่ายน้ำครับ เป็นมุมยอดฮิตที่คนนิยมมาถ่ายรูปลง IG กัน

เป็นการว่ายน้ำพร้อมกับชมวิวเมืองและรถไฟฟ้าที่วิ่งผ่านสร้างสีสันและเสริมไลฟ์สไตล์แบบ Urban Lifestyle

ล็อบบี้สวยดีครับ ก่อนกลับขอเก็บไว้สักภาพ VIE เป็นอีกโรงแรมที่สวยมาก อยากให้มา Staycation กันดู ยิ่งช่วงนี้จัดแคมเปญ Memorable Michelin Moment ถือว่าคุ้มมาก พักห้องสวีทและทานอาหารกลางวันหรืออาหารค่ำโดยเชฟมิชลิน 2 ดาว เริ่มต้นเพียง 2,339 บาทสุทธิ (ใช้เราเที่ยวด้วยกัน)

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร. 02-309-3939
อีเมล H6469-RE1@accor.com

KΔNT
KΔNT

อดีตผู้ประกาศข่าวสายเศรษฐกิจ เจ้าของเพจ KANT.CO.TH ชื่นชอบในไลฟ์สไตล์ การท่องเที่ยวพักผ่อน ในโรงแรมหรู สนใจเรื่องราวงานดีไซน์ อสังหา การตลาด การลงทุน