RHYTHM ,Ekkamai Estate

Rhythm of life :

จังหวะของชีวิต

_____________

ในภาพยนตร์เรื่อง “Mr. Nobody” ตัวเอกของเรื่องคือ Nemo เคยพูดไว้ว่า “𝐋𝐢𝐟𝐞 𝐢𝐬 𝐥𝐢𝐤𝐞 𝐚 𝐬𝐨𝐧𝐠. 𝐘𝐨𝐮 𝐝𝐨𝐧’𝐭 𝐡𝐚𝐯𝐞 𝐭𝐨 𝐮𝐧𝐝𝐞𝐫𝐬𝐭𝐚𝐧𝐝 𝐢𝐭, 𝐣𝐮𝐬𝐭 𝐟𝐞𝐞𝐥 𝐭𝐡𝐞 𝐫𝐡𝐲𝐭𝐡𝐦” – ชีวิตก็เหมือนบทเพลง คุณไม่จำเป็นต้องเข้าใจมัน แค่รู้สึกถึงจังหวะ

.

กานต์ว่าเขาพูดดีนะ สะท้อนถึงแนวคิดที่ว่าเราไม่จำเป็นต้องเข้าใจทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตอย่างถ่องแท้เพื่อที่จะสนุกกับมันหรือค้นหาความหมาย แต่เราควรจดจ่อกับประสบการณ์ชีวิตในช่วงเวลาปัจจุบันและปล่อยให้ตัวเองเคลื่อนไหวไปตามจังหวะ (Rhythm) จะดีกว่า

.

Rhythm of life เกิดขึ้นตลอดเวลาโดยที่เรา (อาจจะ) ไม่รู้ตัว หรือลึกๆ แล้วเราก็ได้เติมเต็มสุนทรียะแห่งการใช้ชีวิตในการแต่ละวินาที ในสถานที่ซึ่งเป็นเสมือนบ้านของเรา (Feel like home)

.

ดั่งเช่นที่ Rhythm Ekkamai Estate เราตื่นแต่เช้า เปิดเพลงแจ๊สคอลเบาๆ ระหว่างเดินไปชงกาแฟ แล้วถือแก้วลงมานั่งจิบอยู่ในสวนยามเช้า พร้อมหนังสือพิมพ์ที่บริเวณชั้น 7 ของคอนโดมิเนียมใจกลางเอกมัย จากนั้นสายๆ ค่อยออกไปทำงาน ซึ่งสถานการณ์ตอนบ่ายอาจจะต้องขยับเป็นจังหวะร็อค เพราะต้องทุ่มสรรพกำลังในการถกเถียงประชุมเพื่อให้ได้งานที่ดีที่สุด

.

ตอนเย็นก่อนกลับ ระหว่างที่เดินฮัมเพลงเบาๆ อยู่ซุปเปอร์มาร์เก็ตแถวทองหล่อใกล้กับคอนโดฯ สังเกตว่าห้างเองก็เปิดเพลงในจังหวะสโลว์เพื่อให้เราเพลิดเพลินกับการเดินเลือกซื้อของได้อย่างสบายใจ

.

ใช้เวลาไม่กี่นาทีก็ถึงที่หมาย RHYTHM Ekkamai Estate คอนโดใหม่ต้นซอยเอกมัย เดินทางได้สะดวกมาก โดดเด่นด้วยพื้นที่ส่วนกลางนับได้มากถึง 10 ชั้น ครบครันทุกจังหวะชีวิตตามที่ใจต้องการ ถ้าใครอยากเร้าร้อนสนุกสนานแบบ EDM ผมแนะนำไปออกกำลังกายที่ฟิตเนสลอยฟ้า หรือถ้าจะซ้อมบัลเลต์ เล่นโยคะก็มีห้องสตูดิโอไว้บริการ ตอนเย็นไปนั่งชมวิวพระอาทิตย์ลับเส้นขอบฟ้าของกรุงเทพได้ที่ชั้นบน เคล้าจังหวะวอลซ์เบาๆ ชวนให้เราโรแมนติกกับคนรัก หรือหากใครอยากให้ชีวิตเงียบๆ ตามลำพัง ที่นี่ก็ยังมี Quiet Zone บนชั้น 3-4 ให้ได้มานั่งหยุดนิ่งทบทวนความคิด ฟังเสียงจังหวะหัวใจเราเต้น

.

กานต์นึกไปถึงตอนที่ Gary Oldman ในภาพยนต์เรื่อง “The Book of Eli” เคยพูดไว้ว่า ”ชีวิตก็เหมือนเปียโน คีย์สีขาวแสดงถึงความสุข คีย์สีดำแสดงถึงความเศร้า แต่จงจำไว้ว่าคีย์สีดำก็สร้างเสียงดนตรีได้เช่นกัน”

.

กานต์อยากเรียกมันว่า #จังหวะชีวิต (Rhythm of Life) ครับ

.

ลงทะเบียนเพื่อรับสิทธิพิเศษได้ที่ https://apth.ly/gbof

_________________________

In “Mr. Nobody,” Nemo says, “Life is like a song. You don’t have to understand it, just feel the rhythm.” This idea highlights the importance of living in the moment and embracing life’s various rhythms.

.

Rhythm Ekkamai Estate embodies this concept, offering a harmonious living experience in the bustling Ekkamai-Thonglor neighborhood. With diverse facilities catering to different lifestyles, residents can enjoy a range of experiences from peaceful mornings to energetic afternoons and tranquil evenings.

.

Like piano keys, life’s rhythms represent happiness and sadness, yet both can create beautiful music. Embracing these changing rhythms allows us to truly appreciate and enjoy life.

.

KANT wants to call it #RhythmOfLife

.

Register for special privileges at https://apth.ly/gbof

#Rhythm#RhythmEkkamaiEstate#Ekkamai#Thonglor#APThai

เอกมัย-ทองหล่อ ไม่เคยหลับใหล เป็นย่านที่คึกคัก เป็นแหล่ง Hang out ที่มีไลฟ์สไตล์ชัดเจน เรานึกไปถึงเสียงเพลงที่หลากหลาย มีจังหวะและท่วงทำนองที่แตกต่างกันออกไปตามแต่ช่วงเวลา ผมว่าความรู้สึกมีชีวิตชีวาถือเป็นเอกลักษณ์ของโลเคชั่น แต่ถึงกระนั้น เมื่อกลับเข้าในคอนโด จังหวะที่เคยคึกคักจะเปลี่ยนแทรคเข้าสู่โหมดเพลงบรรเลงที่พร้ิวไหวทันที

โครงการตั้งอยู่ติดถนนเอกมัยหน้าซอยเอกมัย 1 อยู่ห่างจากถนนสุขุมวิทบริเวณรถไฟฟ้า BTS ประมาณ 1 km. ใกล้กับโครงการจะเชื่อมต่อกับซอยทองหล่อ 10 ถือว่าเดินทางสะดวกมาก หรือจะตรงไปออกทางถนนเพชรบุรีก็ได้ครับ

สิ่งอำนวยความสะดวกในย่านเอกมัย-ทองหล่อต้องขอบอกว่าครบครันครับ ทั้งห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ Community ร้านค้า ร้านอาหาร คาเฟ่เก๋ ๆ มากมายในย่านนี้ รายล้อมด้วยสถานศึกษาชื่อดัง อาทิ Ekamai International School, St.Andrew International School, Wells International School

ตลอดจนมีโรงพยาบาลชั้นนำมากมาย ไม่ว่าจะเป็น โรงพยาบาลสมิติเวช สุขุมวิท, โรงพยาบาลสุขุมวิท, โรงพยาบาลกรุงเทพ, โรงพยาบาลปิยะเวท ฯลฯ จึงทำให้เป็นทำเลที่เหมาะมากกับการพักอยู่อาศัย

RHYTHM Ekkamai Estate มากับ Concept “Feel like home” ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากบ้านเดี่ยวหลังใหญ่ใจกลางเอกมัย ด้านหน้ามีต้นจามจุรีขนาดใหญ่อายุเกินกว่า 50 ปีค่อยพัดไหวให้ร่มเงาเวลาที่เราเดินก้าวเข้าบ้านหลังใหญ่หลังนี้มา

โครงการ RHYTHM Ekkamai Estate ตั้งอยู่บนเนื้อที่ประมาณ 2 ไร่ เป็นอาคาร High Rise สูง 33 ชั้น ไฮไลท์ของโครงการผมยกให้เรื่องการออกแบบที่ลงรายละเอียดได้ดี มีการคิดอย่างเป็นระบบเพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ของลูกบ้านที่อาจจะมีความเหมือนและแตกต่างกันให้ได้มากที่สุด

ไม่ว่าจะเป็นคอนเซปต์การออกแบบภายนอกอาคารที่ได้แรงบันดาลใจมาจากการออกแบบบ้านตามแนวคิด Feel Like Home ตลอดจนการคัดสรรวัสดุมาใช้ การเลือกจัดวางเฟอร์นิเจอร์ดีไซน์สวยมาช่วยให้การตกแต่งภายในดูสวยงามหรูหราเปี่ยมไปด้วยรสนิยมที่ดี

ผมชอบลูกเล่นการออกแบบบันไดด้านหน้าเพื่อขึ้นอาคารโซนที่เป็นพื้นที่ส่วนกลางด้านหน้าทั้ง 7 ชั้น การมีชานบ้านขนาดใหญ่ ให้เรานั่งทำกิจกรรมร่วมกันภายในครอบครัว ประตู Lobby ออกแบบให้เป็นบานเฟี้ยม สามารถเปิดออกเพื่อรับลมธรรมชาติให้พัดผ่านได้ตลอดเวลา ส่วนภายอาคารในมีการประดับตกแต่งด้วย Art Piece จากศิลปินที่มีชื่อเสียงต่างๆ เพื่อเพิ่มสุนทรียในการพักอาศัย

ที่สำคัญนอกจากฟังก์ชันการใช้สอยภายในห้องพักแล้ว เรื่องงานดีไซน์ก็ยังต้องให้น้ำหนัก คือคอนโดมิเนียมต้องสวยดูดี ดูหรูหรา สมฐานะ และต้องไม่ลืมคำนึงถึงหลักการออกแบบที่เพิ่มความเป็นส่วนตัวในการพักอาศัยเข้ามาประกอบด้วย

ด้านหน้าทางเข้าเป็นจุด Drop-off ของอาคาร มีการจัดวางงานประติมากรรมประดับไว้

โถงทางเดินเข้าอาคาร ออกแบบโดยใช้หลักเน้นให้เกิดจุดเด่น (Emphasis) และจังหวะ (Rhythm) ที่เกิดจากการดีไซน์ให้มีความต่อเนื่องกันหรือซ้ำซ้อนกัน เปรียบได้กับเสียงดนตรีที่สร้างกรูฟของการออกแบบระหว่างเดินเข้าอาคาร ผสานกับการจัด Lighting แบบเป็นเส้นตรง สะท้อนบนพื้นหินอ่อนที่ดูหรูหราและสวยงามมากเลยครับ

ชั้นล่างออกแบบให้มีฟังก์ชั่นแยกเพื่อเดินขึ้นไปใช้งานพื้นที่ส่วนกลางบริเวณชั้น 2-7 ได้ ส่วนด้านในจะมี Smart Locker บริเวณนิติบุคคลซึ่งสะดวกมากหากใครที่ช้อปปิ้งออนไลน์มา ก็สามารถมารับได้ด้วยตัวเอง

ที่นี่จะใช้ระบบ Face Scan ในการเข้าออกและขึ้นลงอาคาร เพื่อความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวของผู้พักอาศัย ส่วนการรักษาความปลอดภัยก็เริ่มจากประตูทางเข้าออกแบบไม้กั้นกระดก เป็นระบบจดจำป้ายทะเบียนรถยนต์ พร้อมพนักงานรักษาความปลอดภัย ระบบกล้อง CCTV ส่วนกลางจำนวน 153 จุด เพื่อสร้างความอุ่นใจ

เมื่อประตูเปิดออก เราเดินเข้ามาภายในอาคารจะพบกับ Welcome Lounge สุดหรูหรามีดีไซน์สอดรับกับทางเข้าข้างหน้าที่ได้แรงบันดาลใจมาจากแพทเทิร์นของของแผงกันแดดแนวตั้งภายในบ้านยาวต่อเนื่องกันไป จัดแสงภายในได้สวยงามหรูหรา ทันใดนั้น จังหวะเบาๆ ของเสียงเปียโนที่พริ้วไหวดังเข้ามาในหัวของผมขึ้นทันทีเลยครับ ให้ความรู้สึกราวกับก้าวเดินเข้ามาในโรงแรมหรู

บริเวณนี้จัดวางที่นั่งไว้กระจายกันไปในหลายจุด ส่วนด้านซ้ายมือเป็นโถงทางเข้าลิฟต์

กานต์ชอบมุมตรงกลางที่มีความโดดเด่นดึงดูดสายตาออกแบบมาให้เป็นห้องจดหมายสีทองพร้อมกล่อง Mail Box ที่เป็นโลหะมันวาวสะท้อนเงาในกระจกระยิบระยับ

สอดรับกับงาน Sculpture สุดเซอร์เรียลแขวนลงมาจากเพดาน ซึ่งเป็นงานศิลปะจากศิลปินคนโปรดของผม Dong Sculpture นั่นเองครับ เพื่อเติมเต็มให้งานสถาปัตยกรรมสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น โดยได้แรงบันดาลใจมาจากต้นจามจุรีที่แนวคิดล้อไปกับต้นจามจุรีใหญ่ด้านหน้าอาคารต่อเนื่องกันเข้ามาสู่ภายใน โดยมีฉากหลังเป็นหินอ่อนสีขาวแผ่นใหญ่เพิ่มความอลังการให้กับห้องนี้มากยิ่งขึ้น

เราจะยังไม่เข้าไปด้านในอาคารนะครับ แต่จะเดินย้อนกลับมาด้านหน้าซึ่งมีต้นจามจุรีขนาดใหญ่อายุเกินกว่า 50 ปี ปลูกเอาไว้ได้ฟีลของความเป็นบ้านที่มีต้นไม้น้อยใหญ่ปกคลุม พร้อมมุมที่นั่งสำหรับพักผ่อน อ่านหนังสือหรือว่าจะปล่อยกายปล่อยใจไปกับธรรมชาติสีเขียวใจกลางเอกมัยก็ได้

จุดเด่นที่ผมชอบในการออกแบบ Exterior ของ RHYTHM Ekkamai Estate คือเราไม่เห็นอาคารชั้นจอดรถเลยนะครับ เพราะดีไซน์ไว้ให้อยู่ด้านในทำให้พื้นที่ด้านหน้าติดถนนซึ่งเป็นไฮไลท์เวลาคนขับรถผ่านไปมาบนถนนเอกมัยจะเห็นงานสถาปัตยกรรมที่โดดเด่นเป็นที่ภาคภูมิใจให้กับผู้พักอาศัย

โดยออกแบบให้พื้นที่ชั้น 2-7 เป็นเหมือนส่วนหน้าของบ้านมี Facade ที่ออกแบบโดยลดทอนมาจากบ้านเป็นสี่เหลี่ยมหน้าจั่ว เป็นดีไซน์ที่ให้ลุคแบบโมเดิร์นแต่ดูแล้วอบอุ่นดีมาก ด้านหน้ามีกิมมิคคือบันไดเชื่อมต่อกันไปในทุกชั้น ให้เราเดินขึ้นลงได้ตามใจราวกับอยู่บ้านของเราเองจริงๆ

โซนแรกจะเป็นมุมพักผ่อนแบ่งออกเป็น 2 ฝั่งซ้าย-ขวา ถ้าเราขึ้นบันไดมาจะพบกับ Social Zone ก่อนเลยครับ พร้อมกับจัดที่นั่งพักผ่อนที่สามารถมองเห็นต้นจามจุรีและสวนสีเขียวด้านหน้าโครงการ

ไฮไลท์ของห้องนี้คือโถงความสูงแบบ Triple Volume 9.7 เมตร เท่ากับตึก 3 ชั้น ผมชอบพื้นของที่นี่มีการปูต่อลายอย่างสวยงาม ผนังด้านหลังตกแต่งด้วย Rainforest Green Marble เพื่อสอดรับกับธรรมชาติสีเขียวแวดล้อมโครงการ

เดินต่อมาอีกด้านผ่านบันไดทางเชื่อมตรงกลาง จะพบกับ Quiet Zone ซึ่งกินพื้นที่ชั้น 3 และ ชั้น 4 ของฝั่งขวานี้เข้าไว้ด้วยกัน

ออกแบบให้เป็น Meeting Room แบบส่วนตัวจำนวน 2 ห้องแบ่งออกเป็นห้องประชุมแบบ 4 ที่นั่งและ 6 ที่นั่ง ภายในตกแต่งอย่างหรูหรา ไฮไลท์คือ Wallpaper จากสตูดิโอ Moooi ที่เนเธอร์แลนด์ เป็นแบรนด์ที่ผสมผสานความเป็น Art กับ Furniture เข้าไว้ด้วยกันได้ดีมาก มีความสวยงามและเป็นเอกลักษณ์ ซึ่งเสน่ห์ของ Moooi คือการกำหนดบุคลิกของพื้นที่และมอบสัมผัสที่พิเศษของความคิดสร้างสรรค์และความสวยงามที่คาดไม่ถึง ผมเคยไปชมโชว์รูมที่ Amsterdam ร้านเก๋มาก

นอกจากนี้ยังประดับ Rainforest Green Marble แทรกไว้ในทุก Element ของห้องเพื่อให้เกิดความสอดคล้องของงานดีไซน์ พร้อมอุปกรณ์รองรับการจัดประชุมซึ่งสามารถดำเนินการได้เลยจากที่คอนโด ผมว่าเป็นฟังก์ชั่นที่เหมาะมากในยุค New Normal เช่นนี้ หรือหากใครอยากได้มุมทำงานที่เงียบสงบก็สามารถจองเพื่อขอให้ห้องประชุมได้

เราจะเดินขึ้นบันไดไปชมในส่วนของชั้น 4 ซึ่งเป็น Vertical Co-working แต่ไฮไลท์ก็คือบริเวณบันไดวนนอกจากโถงที่ดูโปร่งโล่งด้วย ผนังทางขึ้นยังประดับด้วยผลงานศิลปะแนว Impressionist ที่ได้แรงบันดาลใจมาจาก Vincent Van Gogh ประดับอยู่บนผนังไม้ให้ความรู้สึกเหมือนบ้าน

ชั้นนี้จะยังอยู่ใน Quiet Zone เป็นมุมงดใช้เสียง ออกแบบเป็น Vertical Co-working ภายในจัดวางมุมนั่งทำงานหลากหลายจุดกระจายกันออกไป ได้วิวธรรมชาติมองผ่านกระจกใสสบายตา ยังคงประดับประดาด้วย Rainforest Green Marble เพื่อเติมสีเขียวสดชื่นสบายใจระหว่างนั่งพักผ่อน สามารถใช้ลิฟต์จากชั้น 2 เพื่อขึ้นมายังชั้น 4 ได้ครับ

“𝐓𝐡𝐞 𝐫𝐡𝐲𝐭𝐡𝐦 𝐨𝐟 𝐥𝐢𝐟𝐞 𝐢𝐬 𝐥𝐢𝐤𝐞 𝐚 𝐫𝐢𝐯𝐞𝐫 – 𝐢𝐭 𝐟𝐥𝐨𝐰𝐬 𝐨𝐧 𝐚𝐧𝐝 𝐨𝐧, 𝐚𝐥𝐰𝐚𝐲𝐬 𝐜𝐡𝐚𝐧𝐠𝐢𝐧𝐠, 𝐚𝐥𝐰𝐚𝐲𝐬 𝐦𝐨𝐯𝐢𝐧𝐠 𝐟𝐨𝐫𝐰𝐚𝐫𝐝.”

– The Lion King

ระหว่างเดินขึ้นบันไดเพื่อจะไปชมชั้น 7 ผมนึกไปถึงเสียงเพลง “At the Fair” ของ Wayne Shorter ดังขึ้นมาในห้วงความคิด เขาคือนักเป่าแซ็กโซโฟนและนักแต่งเพลง อัลบั้มของเขา “High Life” มีเพลงที่รวมเอาเสียงของธรรมชาติ เช่น เสียงนกและหยดน้ำ ควบคู่ไปกับแซ็กโซโฟนและเครื่องดนตรีอื่นๆ บรรเลงจังหวะของบรรยากาศยามเช้า ธรรมชาติของเพลงสร้างความรู้สึกเชื่อมโยงกับโลก โดยเน้นย้ำถึงความสำคัญของการอยู่ร่วมกับสิ่งแวดล้อม

เรามองกลับมาดูบรรยากาศที่บนชั้น 7 ของ RHYTHM Ekkamai Estate ซึ่งเป็น Floating Lobby โดยมีห้องพักอาศัยบางส่วนอยู่ร่วมบนชั้นนี้ ผมว่าฟีลลิ่งดีมาก ราวกีับมีสวนของบ้านขนาดใหญ่ ที่หันหน้ารับแสงแดดยามเช้า ให้เราตื่นมาพบกับความสดชื่นใจกลางเอกมัยในช่วงเวลาที่เงียบสงบ

พื้นที่ส่วนกลางของชั้นนี้ออกแบบให้มีลักษณะเป็นรูปตัวแอล (L-shape) โดยมี Court อยู่ตรงกลางพร้อมที่นั่งแบบ Sunken Seating โอบล้อมเอาไว้ให้ความรู้สึกปิดล้อมเป็นส่วนตัว เติมความทันสมัยด้วยโทนสีเทาของฮาร์ดสเคป ตัดกับสีเขียวของแมกไม้ สีฟ้าของน้ำที่ทำเป็นสระล้อมรอบเอาไว้ราวกับธารน้ำไหล โดยได้สีส้มของแสงแดดมาแซมให้บรรยากาศดูสวยงามคลาสสิคดีมากครับ

ด้านหน้าจัดวางที่นั่งออกเป็นหลายมุมทั้งในแบบของโต๊ะไม้ขนาดใหญ่ บางจุดมีเบาะพนักพิงสีเขียวอ่อนประดับด้วย Forest Green Marble ต่อเนื่องมาจากชั้นก่อนหน้านี้ เพื่อเนรมิตให้เป็นพื้นที่แห่งการพักผ่อนหรือเปลี่ยนบรรยากาศในการทำงานนอกสถานที่ โดยที่เราไม่ต้องออกไปคาเฟ่เลยครับ

พื้นที่ที่นั่งแบบ Semi-outdoor จัดวางกระจายกันไปในหลายจุด เพื่อให้เราได้รับลมจากบนชั้น 7 ลมโฟลว์ดีทั้งวันเลยนะ ทั้งยังได้สัมผัสได้ใกล้ชิดธรรมชาติอีกด้วย

โครงการ RHYTHM Ekkamai Estate นอกจากให้ความสำคัญกับพื้นที่สีเขียวรายรอบเพื่อให้เราได้อิ่มเอมกับธรรมชาติใจกลางเมืองแล้ว ยังออกแบบให้มีฟังก์ชั่นภายในเพื่อการพักผ่อนที่หลากหลาย ตอบโจทย์ผู้พักอาศัยที่มีรสนิยม ความชอบและไลฟ์สไตล์แตกต่างกัน

ภายในตกแต่งได้สวยงามมากครับ ผมชอบดีไซน์ของชั้นโชว์โลหะด้านในตัดกับวัสดุอย่างไม้ให้ความรู้สึกเหมือนฝาบ้านในสมัยก่อน จัดวางโต๊ะเก้าอี้ไว้หลากหลายจุดโดยตั้งใจเลือกให้มีดีไซน์ที่แตกต่างกัน ส่วนผนังตรงกลางประดับด้วยภาพศิลปะแนว Impressionist ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากงานของ Vincent Van Gogh สะท้อนถึงรสนิยมของผู้อยู่อาศัยภายในคอนโดมิเนียมนี้ได้เป็นอย่างดี

Theater Pavillion เป็นห้อง Entertainment Room ส่วนตัวขนาดใหญ่ โครงการได้ติดตั้ง Projector เอาไว้ให้เราได้ทำกิจกรรมแบบส่วนตัวกับเพื่อนฝูงหรือครอบครัว ไม่ว่าจะเป็น ดูหนัง ดูซีรีย์ ฟังเพลง ร้องคาราโอเกะ นั่งเล่นหากิจกรรมมาทำร่วมกันแบบไพรเวท เนื่องจากสามารถลงชื่อจองก่อนเข้าใช้บริการ จะได้ไม่มีลูกบ้านคนอื่นมาร่วมใช้งานด้วยได้

ส่วนอีกด้านเป็น Tea Pavillion หรือว่าห้องสำหรับพักผ่อนจิบน้ำชา คุยธุระสำคัญ ผมชอบห้องนี้มากเพราะตกแต่งสวย เรียบหรูอาจจะดูเป็นผู้ใหญ่ไปสักนิดแต่ก็คงความคลาสสิคดีครับ ผนังห้องด้านนอกเป็นกระจกใสให้เรามองเห็นสวนสีเขียวด้านหน้า

ทว่า ห้องนี้มีไฮไลท์คือภาพวาดลายเส้นที่ได้แรงบันดาลใจมาจากต้นจามจุรี มีศิลปินมาวาดเอาไว้บนผนังไม้ ส่วนพื้นถือเป็นอีกหนึ่งไฮไลท์เพราะปูด้วย Rainforest Green Marble ดูหรูหรามากครับ

ภายในจัดวางชุดโซฟาที่นั่ง พร้อมหมอนอิงที่ออกแบบโดยศิลปินชาวไทย Pomme Chan ผมว่าเธอเป็นคนออกแบบของตกแต่งบ้านได้น่ารักดีมีสไตล์

“𝑻𝒓𝒖𝒆 𝒍𝒖𝒙𝒖𝒓𝒚 𝒊𝒔 𝒃𝒆𝒊𝒏𝒈 𝒂𝒃𝒍𝒆 𝒕𝒐 𝒐𝒘𝒏 𝒚𝒐𝒖𝒓 𝒕𝒊𝒎𝒆 – 𝒕𝒐 𝒃𝒆 𝒂𝒃𝒍𝒆 𝒕𝒐 𝒕𝒂𝒌𝒆 𝒂 𝒘𝒂𝒍𝒌, 𝒔𝒊𝒕 𝒐𝒏 𝒚𝒐𝒖𝒓 𝒑𝒐𝒓𝒄𝒉, 𝒓𝒆𝒂𝒅 𝒕𝒉𝒆 𝒑𝒂𝒑𝒆𝒓, 𝒏𝒐𝒕 𝒕𝒂𝒌𝒆 𝒕𝒉𝒆 𝒄𝒂𝒍𝒍, 𝒏𝒐𝒕 𝒃𝒆 𝒄𝒐𝒎𝒑𝒆𝒍𝒍𝒆𝒅 𝒃𝒚 𝒐𝒃𝒍𝒊𝒈𝒂𝒕𝒊𝒐𝒏.”

– Ashton Kutcher

ห้องน้ำบริเวณพื้นที่ส่วนกลางชั้น 7 ดีไซน์สวยหรูมากครับ

กดลิฟต์จาก Floating Lobby ขึ้นไปชม Facilities ที่ High Zone ชั้น 31 กันบ้างครับ เราสามารถกดลิฟต์จากชั้น 7 ตรงขึ้นมาได้เลย

ชั้นนี้จะมีไฮไลท์คือสระว่ายน้ำแบบ 360 Infinite Edge Pool ออกแบบให้มีสระว่ายน้ำล้อมรอบอาคารแบบ 360 องศา มีทั้งโซนที่อยู่กลางแจ้งและในร่ม เราสามารถว่ายน้ำออกกำลังกายได้จริงเพราะ Main Lab มีความยาวถึง 28 เมตร หรือจะแช่ตัวสบายๆ ชมวิวกรุงเทพในมุมสูงก็ได้

โดยจัดให้มีสระเด็กแยกเอาไว้ ส่วนตัวผมประทับใจมุมสระว่ายน้ำของ RHYTHM Ekkamai Estate มาก ออกแบบได้เรียบหรูอลังการ ในบรรยากาศของวันพักผ่อนของเรา มานั่งแช่น้ำเล่นรับลมเย็นสบายก็ได้ฟีล Happy มีความสุขมากแล้วครับ

แต่ที่กานต์ชอบมากและคิดว่าเป็นการออกแบบที่เก๋ดี มีการ Interact กับสมาชิกท่านอื่น ก็คือการออกแบบให้มี Crystal Hallway

โถงบันไดกรุด้วยผนังหินอ่อนสีขาวดูหรูหรา เมื่อเดินลงบันไดมาจะพบกับทางเดินประดับด้วยกระจกเงาเพื่อให้ดูมีหลายมิติ แต่ที่สำคัญคือเป็นการเดินลอดช่วงใต้สระว่ายน้ำโดยที่ฝ้าเพดานของทางเดินกรุด้วยกระจกใสและหนาทำให้เรามองเห็นคนกำลังว่ายน้ำอยู่ด้านบน

ประกายของน้ำยามต้องแสงแดดแสงไฟก็ทำให้เกิด Glister สะท้อนกับกระจกวิบวับ เป็นภาพที่สวยดีและผมว่าเป็นมุมที่ Photoginic มากๆ เลยครับ

ส่วนพื้นที่วงนอกออกแบบให้เป็น Honeymoon Sunken Seat เป็นมุมนั่งเล่นรอบๆ สุดโรแมนติก พร้อมโซฟาเบดขนาดใหญ่ เหมาะสำหรับคู่รักมานั่งเล่นคุยกัน หรือพ่อแม่พาลูกมานั่งรับลมชมวิว ออกแบบให้ลดระดับลงไปเล็กน้อยเพื่อให้ได้ความเป็นส่วนตัวและจะไม่บังวิวสระว่ายน้ำ

ผมชอบการดีไซน์ขอบเหลี่ยมของปูนและบันไดทางเดินให้สีเทาควันบุหรี่ เพราะเป็นงานออกแบบที่ค่อนข้างแข็งกระด้างแต่มีความเท่ในตัว เมื่อปลูกต้นไม้พุ่มสีเขียวใส่เข้าไป กลับลดทอนทำให้บริเวณนี้ดูอ่อนไหว พริ้วไปตามแรงลม ทำให้ผมประทับใจมาก

เดินขึ้นบันไดไปจนสุดจะเป็นจุดชมวิว Observation Deck ออกแบบให้พื้นและราวกันตกเป็น กระจกเทมเปอร์ใส ให้เราสามารถไปยืนชมวิวกรุงเทพมหานครได้รอบแบบ 6 มิติ ทะลุอาคารจากชั้น 31 ลงไปชั้นล่างสุด ดูน่าตื่นเต้นดี

ถือว่าบนชั้นนี้มีพื้นที่สำหรับรองรับการทำกิจกรรมที่หลากหลายและออกแบบให้ตอบโจทย์ครอบคลุมความต้องการของลูกบ้านทุกช่วงวัยได้ดีมากครับ

ชั้น 32 เป็นฟิตเนสขนาดใหญ่พร้อมอุปกรณ์เครื่องออกกำลังกายสุดไฮเทคของ Technogym ทั้งแบบ Cardio และ Weight Training Machine ที่จะมอบประสบการณ์เหนือระดับกับการออกกำลังกายในแบบ Luxury ให้กับเรา

แต่ที่ผมชอบคือการจัดวางลู่วิ่งและจักรยานสำหรับคาร์ดิโอไว้ริมผนังกระจกใส High Ceilings ให้เราออกกำลังกายไปพร้อมกับการชมวิวกรุงเทพมุมสูงสุดลูกหูลูกตา ผมว่าเพื่อเพิ่มความคึกคักเติมเอนเนอจี้ แนะนำให้ใส่หูฟังแล้วเปิดจังหวะ EDM หรือเพลงที่มีบีทสนุกๆ ระหว่างออกกำลังกายไปด้วย จะช่วยเติมความกระปรี้กระเปร่าให้เราได้

ขณะที่อีกด้าน จัดให้มีโซนฟรีเวทให้เราออกกำลังเพื่อสุขภาพได้ตามใจ บรรยากาศแบบโปร่งสบาย ออกกำลังกายได้ไม่อึดอัด แต่ถ้าออกกำลังกายแล้วรู้สึกเหนื่อย แนะนำให้สูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วมองออกไปนอกหน้าต่างชมวิวสวยๆ เพียงเท่านี้ก็ได้ Reboost ตัวเองขึ้นมาจากความเหนื่อยล้าได้ระดับหนึ่งแล้วครับ

ติดกันมี Yoga Studio เป็นห้องโล่งๆ ภายในติดตั้งกระจกเงาบานใหญ่และมีช่องแสงขนาดใหญ่ส่องเข้ามาได้เช่นกัน เราสามารถเปิดหน้าต่างออกไปเพื่อรับลมและระบายอากาศได้ หากใครจัดคอร์สโยคะส่วนตัวสามารถเชิญครูจากภายนอกมาสอนที่นี่ได้เลยครับ สามารถลงชื่อจองเข้าใช้ห้องแบบส่วนตัวกับทางนิติบุคคลได้เลยครับ

Facilities ของ RHYTHM Ekkamai Estate ต้องบอกว่ามีเยอะจริงๆ ครับ สำหรับคนรักสุขภาพอยากเสริมผิวสวย ที่นี่ได้จัดให้มี Wellness Spa โดยนำเทคโนโลยี White ION Bath มาใช้ซึ่งเป็นนวัตกรรมใหม่ในการผลิต Micro Bubble ที่มีขนาดเล็กกว่า 5 ไมครอน ลักษณะจะเป็นฟองฟูละเอียดขาวบริสุทธิ์เต็มไปด้วยออกซิเจน จุดเด่นเลยก็คือจะช่วยชำระสิ่งสกปรกที่อยู่ตามรูขุมขนของผิวเราได้ เพื่อความบริสุทธิ์ชุ่มชื่นและมีสุขภาพดี

ส่วนอุณหภูมิของน้ำในบ่อจะกำหนดไว้ที่ประมาณ 40 องศา เพราะว่าจะช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ดีอีกด้วย ออกแบบให้รองรับทั้งห้องสำหรับลูกบ้านผู้ชายและผู้หญิง แต่จะเพิ่มเติมให้มีห้อง Steam สำหรับผู้หญิงด้วย ส่วนผู้ชายจะมีห้อง Sauna

นอกจากนี้ ยังมีบริการตู้ล็อคเกอร์ ห้องน้ำขนาดใหญ่ เตรียมพร้อมอำนวยความสะดวกให้กับลูกบ้านอีกด้วยครับ

ชั้น 32 ยังเป็นที่ตั้งของ Sky Lounge และ Sky Library เพื่อให้ลูกบ้านได้มานั่งเทควิวกรุงเทพมุมสูงได้ในทุกช่วงเวลาตั้งแต่เช้าจรดค่ำ

เริ่มจากพื้นที่ด้านซ้าย ออกแบบให้มีประตูเป็นบานเฟี้ยมเปิดได้ 180 องศาแบบเดียวกับ Floating Lobby ที่ชั้นล่างเพื่อคงคอนเซ็ปต์การออกแบบ Feel Like Home เอาไว้

อีกทั้งยังสามารถเปิดปิดเพื่อกั้นให้เป็นห้องที่ได้ความเป็นส่วนตัวมากยิ่งขึ้น ภายในจัดวางโซฟาที่นั่งสำหรับลูกบ้านที่ต้องการมานั่งอ่านหนังสือเงียบๆ พร้อมกับชมวิวไปพลาง หรูหราด้วยแชนเดอร์เลียโคมไฟระย้าขนาดใหญ่ที่ส่องประกายระยิบระยับคล้ายดวงดาวเต็มท้องฟ้าในยามค่ำคืน

พร้อมกับเติมเต็มสุนทรียภาพให้กับชีวิตด้วยภาพแขวนผนังเป็นงานศิลปะสไตล์ Impressionist ที่ได้แรงบันดาลใจมาจาก Vincent Van Gogh ซึ่งครบ 3 ชิ้นภายในอาคารนี้พอดี

ส่วนอีกฝั่งเป็น Sky Lounge ซึ่งผมชอบมาก เพราะวิวชั้นบนนี้สวยงามโดยเฉพาะในยามย่ำค่ำ แสงจากท้องฟ้าช่วงทไวไลท์ตัดกับสีทองอร่ามจากแชนเดอร์เลียที่แขวนไว้ภายในห้อง กลายเป็น มุมพักผ่อนที่เปิดให้เราได้ชมวิวเมืองฟ้าอมรได้อย่างเต็มที่เช่นกัน

บรรยากาศโรแมนติกดีมาก พลอยทำให้นึกถึงฉากในภาพยนตร์เรื่อง Shall We Dance? ตอนที่เบเวอร์ลีกำลังคุยกับจอห์นว่า “Life is like a waltz – it’s all about timing, rhythm, and the right partner.” เป็นประโยคที่กินใจดีมาก เพราะความสำเร็จในชีวิตมักขึ้นอยู่กับการมีจังหวะเวลาที่เหมาะสม สอดคล้องกับจังหวะของโลกรอบตัวเรา และการซัพพอร์ตจากผู้อื่นที่มีเป้าหมายและแรงบันดาลใจเดียวกับเรา

ผมเชื่อมั่นเหลือเกินว่าคนที่เลือกตัดสินใจมาเป็นลูกบ้านในโครงการ RHYTHM Ekkamai Estate ย่อมเป็นคนที่มีความชอบคล้ายๆ กัน ชอบความหรูหรา Luxury มีีความรักในธรรมชาติ มาร่วมกันสร้างสังคมที่อบอุ่นและน่าอยู่ที่นี่

ส่วนชั้น 33 บนสุดจะเป็น Crown Garden ตั้งชื่อเพราะดีครับนึกถึงความเป็นที่สุดยอดมงกุฏเพชรประมาณนี้ ออกแบบให้เป็นพื้นที่สวนสีเขียวที่มี Landscape แบบเล่นระดับ สามารถพักผ่อนแบบเงียบ รับลมเย็นๆ ท่ามกลางพื้นที่สีเขียวได้

พื้นที่ส่วนกลางของโครงการ RHYTHM Ekkamai Estate ถือว่ามีขนาดใหญ่มาก หากเทียบกับจำนวนยูนิตของลูกบ้านที่มีเพียง 303 ยูนิตเท่านั้น ทำให้ได้ความเป็นส่วนตัวค่อนข้างสูงครับ

เรากดลิฟต์มาชมห้องตัวอย่างกันบ้างครับ เริ่มจากห้องที่กานต์ชอบมากที่สุดและถือเป็น Rare Item ของที่นี่ เพราะมีเพียงไม่กี่ห้องเท่านั้น นั่นคือห้องแบบ 2 Bedroom ขนาด 85.5 ตร.ม. เป็นห้องมุมที่มีขนาดใหญ่และที่จัดวาง Layout ภายในห้องได้อย่างลงตัว รูปแบบการขายของโครงการจะเป็นแบบ Fully Fitted คือได้ชุดครัวและห้องน้ำติดตั้งมาให้แล้ว ประตูทางเข้าทุกห้องติด Digital Door Lock มาให้

ส่วนตัวผมว่าห้องนี้เหมาะสำหรับครอบครัวที่มีลูก เพราะจะได้ฟีลแบบอยู่บ้านแบบไทย แต่แท้จริงแล้วคือการใช้ชีวิตอยู่บนอาคารสูงใจกลางเอกมัย ถือว่าเป็นไลฟ์สไตล์สำหรับคนเมืองที่ลงตัวมาก ยิ่งหากบ้านไหนส่งลูกเรียนโรงเรียนนานาชาติในย่านเอกมัย สุขุมวิท ผมว่าลงตัวเลยครับ ชีวิตจะสะดวกสบายมาก 

ด้านหน้าเป็น Foyer ขนาดเล็กๆ พื้นห้องเป็น Hybrid engineering wood ให้สัมผัสของไม้ได้อารม์เหมือนอยู่บ้าน เราสามารถ Built-in ตู้วางรองเท้าแบบเฉียงให้ขนานไปกับโถงทางเดินได้จะได้ใช้พื้นที่บริเวณนี้อย่างคุ้มค่า อีกหนึ่งข้อดีก็คือทำให้เกิดความเป็นส่วนตัวเวลาที่เราเปิดประตูจะไม่สามารถมองเห็นเข้ามาภายในห้องได้

ภายในจะพบกับ Common Area ที่มีขนาดใหญ่ ด้านซ้ายมือเป็นมุมนั่งเล่นที่ได้วิวเปิดโล่งแบบเข้ามุม 2 ฝั่ง สามารถเปิดม่านออกจะเป็นช่องแสงขนาดใหญ่ที่เพิ่มความสว่างให้กับห้องได้โดยแทบไม่ต้องเปิดไฟในเวลากลางวัน อีกทั้งยังช่วยให้ห้องดูโปร่งสบายด้วยกระจกสูงจากพื้นจรดฝ้าเพดานมองเห็นวิวกรุงเทพมหานครได้สุดลูกหูลูกตาในทุกช่วงเวลา มาพร้อมกับความสูงภายในห้องจากพื้นถึงฝ้าเพดานอยู่ที่ 2.8 เมตร ถือว่าเกินมาตรฐานคอนโดมิเนียมทั่วไป

เช้าๆ เราอาจจะชงกาแฟสักแก้วแล้วมานั่งอ่านหนังสือพิมพ์อัพเดทข่าวสารที่บนโซฟา หรือว่าตอนเย็นหลังเลิกงานเปลี่ยนจังหวะมาเป็นเพลงคลาสสิคเบาๆ พร้อมกับจิบเครื่องดื่มแก้วโปรดเป็นการผ่อนคลายความเหนื่อยล้าจากการทำงานมาทั้งวันได้เป็นอย่างดี

จริงๆ พื้นที่ Common Area ออกแบบให้เป็น Open Plan เพื่อให้เราได้ดีไซน์ฟังก์ชั่นต่างๆ ภายในห้องได้ตรงตามไลฟ์สไตล์ของสมาชิกในครอบครัว

อย่างเช่นด้านข้าง Island ครัวจะมีโถงทางเดินซึ่งเป็นพื้นที่ว่างประมาณ 4 เมตร เพื่อให้เราสามารถ Built-in ตู้เก็บของเพิ่มได้ เชื่อมต่อกับพื้นที่ของครัว ซึ่งติดตั้ง Island ไว้ตรงกลางพร้อมเคาน์เตอร์อยู่ชิดผนังด้านใน เพราะบริเวณนี้ถือว่ามีพื้นที่ค่อนข้างมาก ทางโครงการได้ติดตั้งเคาน์เตอร์ครัวท๊อปด้วยหิน Qaurtz ทนต่อแรงขีดข่วนได้ดี ไม่เป็นรอยง่าย ทำความสะอาดได้สะดวก มาพร้อมเตาไฟฟ้า เครื่องดูดควัน ไมโครเวฟ และอ่างล้างจานของ FRANKE มาให้แล้ว

หลังจากทำอาหารเสร็จก็สามารถทยอยเสิร์ฟลงโต๊ะได้ทันที เพราะพื้นที่ติดกันเป็นโต๊ะรับประทานอาหารขนาด 6 ที่นั่ง สามารถชวนเพื่อนมาปาร์ตี้ทำอาหารอร่อยๆ ทานร่วมกันที่บ้านได้ในบรรยากาศสนุกสนานเป็นกันเองเพราะการออกแบบเอื้อต่อการทำกิจกรรมร่วมกันได้มาก ไม่เว้นกระทั่งการสร้างปฏิสัมพันธ์กันในครอบครัว 

ด้านนอกจะมีห้องน้ำจุดเดียวบริเวณด้านหลังห้องครัวด้านหน้าห้องนอนรอง สำหรับใช้งานร่วมกันระหว่างพื้นที่ภายนอกกับห้องนอนรองที่อยู่ถัดไป ภายในครบครันด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก สุขภัณฑ์ที่ติดตั้งเป็นของแบรนด์ Kohler จากเยอรมัน

ห้องนอนรองมีขนาดใหญ่พอสมควรเลยครับ เข้ามาครั้งแรกยังสับสนว่าเป็นห้องนอนรองหรือห้องนอนหลักกันแน่ ภายในสามารถจัดวางเตียงนอนขนาดใหญ่ได้สบายเลยครับ และยังมีพื้นที่เดินรอบเตียงได้ ห้องตัวอย่างจัดวางเตียงนอนค่อนไปทางชิดผนัง ซึ่งเป็นกระจกบานฟิกซ์ แต่ยังมีการเจาะช่องหน้าต่างแบบบานกระทุ้งเอาไว้ช่วยระบายอากาศภายในห้องได้

ฝั่งหน้าประตูเป็นมุมโต๊ะเครื่องแป้งและตู้เสื้อผ้า Built-in มาแบบเต็มผนัง

ระหว่างทางเดินไป Master Bedroom ซึ่งแยกออกไปยังอีกฝั่งของห้อง จะมีประตูเล็กๆ สำหรับเปิดออกไปยังระเบียงและเป็นห้องเปล่าๆ ขนาดเล็กให้เราใช้เป็น Laundry Room ได้อย่างเป็นสัดส่วน

ขณะที่ห้องนอนหลักจะอยู่ถัดไป ซึ่งทำให้ได้เปรียบเรื่องขนาดความกว้างและความเป็นส่วนตัวของผู้พัักอาศัย ออกแบบให้พื้นที่หน้าประตูจะเป็นตู้เสื้อผ้า เราสามารถ Built-in เป็นตู้เสื้อผ้าได้เต็มผนังและติดกันเป็นห้องน้ำ

ส่วนพื้นที่พักผ่อนจะเข้าไปอยู่ด้านในเพิ่มความเป็นส่วนตัวได้มากยิ่งขึ้น ห้องดูกว้างขวางและโปร่งสบาย ผ่านผนังกระจกใสแบบเข้ามุมที่สามารถเปิดช่องแสงธรรมชาติจากภายนอกเข้ามาในห้องได้มากกว่า วิวมุมมองกว้างกว่า ภายในห้องตัวอย่างตกแต่งอย่างเรียบง่ายทว่าหรูหรา ตรงกลางห้องค่อนไปทางด้านในชิดผนังจัดวางเตียงนอนขนาดใหญ่ พร้อมหัวเตียงบุนวมที่ประดับงานศิลปะเอาไว้ ทั้งยังมีพื้นที่ข้างเตียงเหลือมากพอที่จะจัดวางโต๊ะหัวเตียงพร้อมโคมไฟทั้ง 2 ฝั่ง ปลายเตียงเป็นชั้นวางทีวี 

จุดที่ผมชอบในห้องนี้คือห้องน้ำแบบ Sexy Bath กระจกติดกับส่วนของห้องนอน ภายในได้ติดตั้งสุขภัณฑ์ ฝักบัว อ่างล้างมือพร้อมมีอ่างอาบน้ำในตัว สุขภัณฑ์และอ่างอาบน้ำใช้เป็นของ Kohler

พามาชมห้องตัวอย่างแบบ 1 Bedroom Plus ขนาด 40 ตร.ม.กันบ้าง เนื่องจากรูปแบบการขายเป็นแบบ Fully Fitted คือได้ชุดครัวและห้องน้ำติดตั้งมาให้แล้ว

ส่วนของครัวถูกจัด Lay out ให้ไปอยู่ด้านหน้าประตูพร้อมกับโต๊ะรับประทานอาหาร ทางโครงการได้ติดตั้งชุดครัวมาให้พร้อมเตาไฟฟ้า เครื่องดูดควัน ไมโครเวฟของ Franke ติดตั้งอ่างล้างจานและเจาะช่องด้านล่างสำหรับจัดวางเครื่องซักผ้า ส่วนริมผนังด้านในเป็นพื้นที่สำหรับวางตู้เย็น ถือเป็นฟังก์ชั่นที่ลงตัวตามมาตรฐานชีวิตคนเมือง

ติดกันเป็นพื้นที่นั่งเล่น สามารถจัดวางโซฟาขนาด 2 ที่นั่งพร้อมเก้าอี้สักตัวได้สบายๆ ส่วนทีวีแนะนำให้เลือกเป็นแบบแขวนผนังเพราะนอกจากจะช่วยประหยัดพื้นที่แล้วยังทำให้ห้องดูโมเดิร์นมากขึ้นอีกด้วยครับ

ส่วนห้องนี้ที่พิเศษคือมีการกั้นพื้นที่เพิ่มบริเวณด้านในริมผนังเพื่อทำเป็นห้องเอนกประสงค์ เป็นไฮไลท์ที่น่าสนใจมาก เพราะเป็นฟังก์ชั่นที่เหมาะสำหรับไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ที่ต้องการมีมุมส่วนตัวสำหรับทำกิจกรรมที่ตอบสนองความต้องการ ไม่ว่าจะเป็นทำเป็นห้อง Entertainment Room ห้องนอนสำหรับสำหรับแขก ห้องสำหรับแคสต์เกม สตูดิโอขนาดย่อมสำหรับไลฟ์สดขายของออนไลน์ หรือแม้แต่ทำเป็นออฟฟิศสำหรับใครที่ยัง Work from home อยู่ ก็ถือว่าเป็นฟังก์ชั่นท่ี่ลงตัวมากๆ

ห้องน้ำจะอยู่ทางฝั่งขวาของห้อง ซึ่งความพิเศษคือเป็นห้องน้ำที่สามารถเข้าออกได้ 2 ทางทั้งจาก Common Area และภายในห้องนอน ข้อดีก็คือเมื่อมีแขกมาบ้านสามารถเข้าห้องน้ำโดยไม่ต้องผ่านไปในห้องนอนก่อน ส่วนเราเจ้าของห้องก็สามารถใช้งานห้องน้ำแล้วต่อเนื่องมาจนถึงมุมแต่งตัวที่อยู่ติดกันได้ทันทีทำให้มีความสะดวกในการใช้งานมากยิ่งขึ้น นับเป็นการออกแบบแปลนห้องที่ชาญฉลาดมาก

ส่วนเตียงนอนจะถูกจัดไว้ด้านในสุดเกือบชิดผนัง
ส่วนเตียงนอนจะถูกจัดไว้ด้านในสุดเกือบชิดผนัง ข้อดีก็คือนอกจากเป็นผนังกระจกใสช่วยให้เปิดรับแสงและวิวจากภายนอกได้อย่างเต็มที่แล้ว ยังสามารถเปิดประตูออกไปสู่ระเบียงได้จนสุด และยังกลายเป็นอีกจุดที่น่าสนใจเนื่องจากระเบียงเป็นแบบ Double Skin คือออกแบบให้มีชุดประตูบานเลื่อน 2 ชั้น นอกจากที่ในห้องนอนแล้วยังสามารถเลื่อนปิดบริเวณระเบียงได้ด้วยทำให้เรามีพื้นที่ในการใช้สอยเพิ่มเติมและได้ความเป็นส่วนตัว

นอกจากนี้ยังออกแบบให้มีห้องเซอร์วิสแบบปิดประตูเป็นพื้นที่วาง Condensing Unit ของแอร์อย่างเป็นสัดส่วนไม่รกสายตาและสามารถใช้พื้นที่ระเบียงได้อย่างเต็มประโยชน์

#โดยสรุป RHYTHM Ekkamai Estate เป็นอีกหนึ่งโครงการที่น่าสนใจสำหรับใครที่ชอบพักอาศัยในคอนโดมิเนียมใจกลางเมืองทำเลทองติดถนนเอกมัย ไม่ไกลจากรถไฟฟ้า BTS และทางด่วน เชื่อมต่อกับทองหล่อรายล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน

เป็นคอนโดมิเนียมที่จัดเต็มเรื่องพื้นที่ส่วนกลางเยอะมากโดยที่จำนวนยูนิตไม่เยอะ ทำให้ได้รับความเป็นส่วนตัวสูง ส่วนตัวกานต์ชอบดีไซน์ผมว่าสวยมาก ดูอบอุ่นเรียบง่ายแต่หรูหรา เข้าไปเยี่ยมชมโครงการมาแล้วรู้สึกได้ถึงคำว่า “Feel Like Home” จริงๆ ครับ ที่สำคัญคือเป็นโครงการที่สามารถเก็บกระเป๋าแล้วเข้าอยู่ได้ในทันที

สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://apth.ly/gbof

KΔNT
KΔNT

อดีตผู้ประกาศข่าวสายเศรษฐกิจ เจ้าของเพจ KANT.CO.TH ชื่นชอบในไลฟ์สไตล์ การท่องเที่ยวพักผ่อน ในโรงแรมหรู สนใจเรื่องราวงานดีไซน์ อสังหา การตลาด การลงทุน