จาริกแสวงบุญตามรอยบาทพระศาสดา

“ใครก็ตามที่ยังไม่เคยจาริกแสวงบุญเลย
จนอายุได้ 50 ปีแล้ว
เขาไม่ควรจะรั้งรออีกต่อไป …
เพราะจะไม่มีเวลาเหลืออีกแล้ว”

สาทิศ กุมาร กล่าวไว้ในหนังสือ “จุดหมาย ไม่ใช่ปลายทาง : อัตชีวประวัติของนักเดินเท้า”

ตอนอายุเพียงเก้าขวบสาทิศ กุมารสละชีวิตทางโลกและถือบวชร่วมกับขบวนการจาริกกับพระศาสนาเชน

จาริก เป็นภาษาบาลีใช้ว่า มีความหมายถึง การเดินทางจากที่หนึ่งไปสู่อีกที่หนึ่ง ซึ่งโดยปกติหมายถึงการเดินทางในระยะไกล

สาทิศ เดินจาริกไปทั่ว จากนั้นได้เข้าร่วมกับขบวนการภูทานของท่านวิโนพา ภาเว และได้ผันตัวเองเป็นนักรณรงค์เพื่อการเพื่อฟื้นฟูอินเดียใหม่ ทำให้โลกอันสันติเกิดขึ้นได้จริงด้วยการเดินเท้าระยะทาง 8,000 ไมล์จากที่ฝังศพของมหาตมะคานธีในกรุงเดลลี ไปยังวอชิงตัน ดี.ซี. เพื่อนำ “ชาแห่งสันติภาพ” ไปมอบให้กับผู้นำประเทศมหาอำนาจทั้ง 4 อันได้แก่ รัสเซีย ฝรั่งเศส อังกฤษและอเมริกา โดยเป็นการเดินเท้าผ่านทะเลทราย ภูเขา พายุและหิมะ ไม่มีเงินติดตัว อาศัยการพึ่งพาในความเมตตาอารีของคนที่ผ่านไปมา

จังหวะชีวิตของสาทิศไม่ง่าย เหมือนจังหวะการย่ำเท้า 8,000 ไมล์ไปอเมริกา เป็นการจาริกเพื่อค้นหา และพบเจอว่า เป้าหมาย อาจจะไม่ใช่ปลายทางเสมอไป

จาริกของพระพุทธองค์ ก็เช่นกัน

พระพุทธเจ้าได้ชื่อว่าเป็นคุรุอย่างแท้จริง แต่พระองค์มิได้เป็นอย่างเพลโตซึ่งสอนในอคาเดมี หรืออย่างอไควนัสที่บรรยายในมหาวิทยาลัย

แต่การพุทธจาริกไปยังสถานที่ต่างๆ ของพระพุทธองค์ ทรงเปิดโอกาสให้ผู้คนได้สดับพระธรรมในจำนวนมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ โดยไม่เลือกสถานที่ ไม่จำกัดคนฟัง และไม่เลือกแม้กระทั่ง … เวลา

คำสอนของพระพุทธองค์ได้ทรงกระทำตามข้างถนนหนทางบ้าง ตามสวนมะม่วงนอกหมู่บ้านบ้าง ตามเทวาลัยริมหนทางบ้าง และตามสวนสาธารณะบ้างตามการจาริกไปยังสถานที่ต่างๆ


ในพระไตรปิฎกได้จารึกถึงพุทธจาริกไว้หลายวาระ อาทิ ในช่วง 12 เดือนภายหลังจากที่ได้ตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว พระองค์ได้เสด็จจาริกจากตำบลอุรุเวลาเสนานิคมไปยังสารนาถ และเสด็จจาริกกลับมาที่ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม และจากนั้นก็ได้เสด็จจาริกไปยังกรุงราชคฤห์โดยผ่านทางคยา ระยะทางรวมแล้วประมาณ 315 กิโลเมตร

และการเสด็จจาริกที่ใช้เส้นทางยาวที่สุด เท่าที่มีการจารึกในพระไตรปิฎก คือ การเสด็จจาริกจากกรุงราชคฤห์ไปยังสาวัตถี โดยผ่านทางกรุงเวสาลี และเสด็จจารึกกลับมาอีกเส้นทางหนึ่งคือทางเมืองกีฏาคีรี และอาฬวี ซึ่งเป็นเส้นทางรวมกันแล้วประมาณ 920 กิโลเมตร

ส่วนการเสด็จจาริกครั้งสุดท้ายของพระองค์ คือ เส้นทางจากเมืองราชคฤห์ไปยัง ปัตนะ เวสาลี และไปสุดที่เมืองกุสินารา ซึ่งเป็นเส้นทางรวมกัน 275 กิโลเมตร

พระพุทธองค์ เคยทรงตรัสถึงพระสาวกที่ส่งออกไปประกาศพระศาสนา หลังจากที่ได้ตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ เอาไว้ว่า

“ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราพ้นแล้วจากบ่วงทั้งปวง ทั้งที่เป็นของทิพย์ ทั้งที่เป็นของมนุษย์ แม้พวกเธอก็พ้นแล้วจากบ่วงทั้งปวงทั้งที่เป็นของทิพย์ ทั้งที่เป็นของมนุษย์ พวกเธอจงเที่ยวจาริก เพื่อประโยชน์และความสุขแก่ชนหมู่มาก เพื่ออนุเคราะห์โลก เพื่อประโยชน์เกื้อกูลและความสุขแก่ทวยเทพและมนุษย์ พวกเธออย่าได้ไปรวมทางเดียวกันสองรูป จงแสดงธรรมงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด จงประกาศพรหมจรรย์พร้อมทั้งอรรถทั้งพยัญชนะครบบริบูรณ์บริสุทธิ์ สัตว์ทั้งหลายจำพวกที่มีธุลีคือกิเลศในจักษุน้อยมีอยู่ เพราะไม่ได้ฟังธรรมย่อมเสื่อม ผู้รู้ทั่วถึงธรรมจักมี ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้เราก็จักไปยังตำบลอุรุเวลาเสนานิคม เพื่อแสดงธรรม” (วินัยปิฎก)

ที่ผมหยิบยกเรื่องดังกล่าวมาเขียนเล่า เพราะส่วนตัวเดินทางไปจาริกตามรอยพระบาทพระศาสดาองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในช่วงฤดูหนาวของอินเดีย เป็นเวลาต่อเนื่องมาเกือบ 10 ปีแล้วครับ

เป็นการเดินทางแสวงหาสิ่งที่มีความสำคัญทางจริยธรรมต่อจิตใจของเรา และเป็นการเดินทางไปยังศาสนสถานที่มีความสำคัญต่อความเชื่อหรือความศรัทธาของเรา ไม่ว่าจะเป็น สถานที่ประสูติ ตรัสรู้ ปฐมเทศนา และสถานที่ดับขันธปรินิพพาน

เป็นการจาริกแสวงบุญ ร่วมกับญาติธรรม นักแสวงบุญอีกหลายท่าน อันทำให้ผมได้ผลพลอยได้มากขึ้นไปอีกจากการเป็น “สะพานบุญ” นำพาผู้คนไปสู่ “แดนพุทธภูมิ”

นอกจากเป็นการจาริกที่เสมือนได้ไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้ายังสถานที่ที่มีความเกี่ยวเนื่อง เกี่ยวพันกับพระพุทธองค์ ยังให้เกิดความปลงสังเวช และพุทธานุสติ เป็นการเตือนใจเราให้ได้ระลึกถึงหลักความจริงของสรรพสิ่งที่มีความไม่เที่ยง เพราะทุกสิ่งล้วน เกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป ตามหลักไตรลักษณ์ (อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา)

เป็นการเตือนใจเราให้เกิดปัญญา มีสติและตื่นรู้อยู่เสมอ

ซึ่งสิ่งเหล่านี้ “ใครทำ ใครได้” เกิดขึ้นกับตัวบุคคลเองไม่เกี่ยวกับผู้ใด แต่เป็นสิ่งที่ผมพิสูจน์ได้ด้วยตัวเองมาแล้วเกือบ 10 ปี

“บุญ” หรือ “ปีติ” เกิดขึ้นทันทีโดยไม่ต้องรอ “ชาติหน้าตอนบ่ายๆ “

เป็นความรู้สึกที่สัมผัสได้และแสดงออกด้วยกริยาแตกต่างกันไป บ้างก็เกิดความปีติ เกิดความสงบ อิ่มเอมในหัวจิตหัวใจ เกิดความซาบซึ้งจนน้ำตาริ้นน้ำตาไหล หรือไม่ก็เกิดเป็นการปลงอนิจจัง ไม่กักขังสิ่งใด คนใดไว้กับตัวเรา

เหล่านี้ คือสิ่งที่เจอ สิ่งที่ได้ จากการไปจาริกแสวงบุญมาหลายสิบครั้ง จากครั้งแรกที่ร้องไห้ กล้าๆ กลัวๆ เบื่อๆ (ปนความไม่เชื่อเรื่องเหล่านี้อยู่บ้างในตัว)
แต่อย่างที่บอก “ใครทำ ใครได้” – เจอกับตัวถึงรู้ ไม่ต้องให้ใครมาบังคับ ขู่เข็ญ

เหมือนเวลาที่ผมชวนเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ที่สนิทรักใคร่กันไป “สังเวชนียสถาน 4” ในแต่ละปี เหล่านี้เป็นเรื่องของความสมัครใจ คนไปก็ใช่ว่าจะดีเลิศกว่าคนใด และคนที่ไม่อยากไปก็ไม่ได้ถือว่าบาป ทั้งหมดเป็นเรื่องของ “กรรม” คือการกระทำล้วนๆ ส่วนผมก็ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดและทำอีกบทบาทคือ “การเป็นสะพานบุญให้ญาติธรรม” ทั้งหลาย

ไป-ไม่ไป แล้วแต่พึงพิจารณาด้วยสติปัญญาของทุกท่านที่มีอยู่

ส่วนใครที่เคยไป หรืออยากไปและถามว่า “ปีนี้ผมจะไปอินเดียวันไหน” กำหนดวันที่คือ 30 พฤศจิกายน – 9 ธันวาคม 2561 ครับ

ตั้งใจเอาไว้ว่า ในวันที่ 5 ธันวาคม ผมอยากจะไปสวดมนต์ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร เป็นการแสดงความจงรักภักดีอย่างหาที่สุดมิได้ และยังเป็นการทำความดีให้แด่พระองค์ท่านด้วยความระลึกถึงพ่อหลวงสุดดวงใจ

ส่วนวันอื่นๆ จะเดินทางไปจาริกแสวงบุญตามรอยพระบาท พระศาสดา ตามรายการที่กำหนดไว้ สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติม คลิ๊กที่นี่ครับ >> http://bit.ly/2NXNIdf

ปีนี้ยังมีจุดหมายอีกอย่างคือการเดินทางไปกราบสักการะบูชา “พระบรมสารีริกธาตุ” ของพระพุทธองค์ ภายในพิพิธภัณฑ์ซึ่งประดิษฐานอยู่บนบุษบกไม้สักแกะสลักปิดทองที่รัฐบาลไทยได้จัดสร้างถวายเป็นพุทธบูชา ถือเป็นโอกาสดีมากๆ ที่จะได้ไปกราบครับ

ดังนั้น หากท่านใดสะดวก ขออนุญาตใช้พื้นที่ตรงนี้ เรียนเชิญให้ร่วมเดินทางจาริกแสวงบุญไปด้วยกัน

ปีนี้ ผมยังได้เดินหน้าโครงการ “นิมนต์พระสงฆ์ไทยไปตามรอยบาทพระศาสดา” เป็นปีที่ 2 โดยจะทำการคัดเลือกพระภิกษุสงฆ์ ในวัดที่ห่างไกลความเจริญ เป็นพระผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ แต่ขาดแคลนปัจจัยและโอกาส ให้สามารถเดินทางไปร่วมแสวงบุญยังสังเวชนียสถาน 4 ตำบลในครั้งนี้ด้วย

ท่านใดประสงค์ร่วมเป็นเจ้าภาพถวายปัจจัย ขอกราบเรียนเชิญและขออนุโมทนาบุญ มา ณ ที่นี้โดยการโอนเงิน

บัญชี ธนาคาร : กสิกรไทย / สาขา: บางลำภู
ชื่อบัญชี นายกานต์ จอมอินตา
บัญชี ออมทรัพย์ เลขที่ 008-2-12116-3

หรือจะโทรนัดให้ผมเข้าไปรับและนำเสนอโครงการให้ก็เต็มใจและอนุโมทนาด้วยความยินดียิ่งครับ

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม กรุณาโทรหาผมได้ที่หมายเลข 087-437-9999, 081-378-8077 ครับ

KΔNT
KΔNT

อดีตผู้ประกาศข่าวสายเศรษฐกิจ เจ้าของเพจ KANT.CO.TH ชื่นชอบในไลฟ์สไตล์ การท่องเที่ยวพักผ่อน ในโรงแรมหรู สนใจเรื่องราวงานดีไซน์ อสังหา การตลาด การลงทุน