Hoshinoya Tokyo

#ยกเรียวกังสุดหรูมาไว้ใจกลางโตเกียว

.

กานต์เพิ่งกลับจากไปพักผ่อนที่ Hoshinoya Tokyo โรงแรมที่ซ่อนตัวอยู่ในย่านโอเทมาชิอันพลุกพล่าน นำเสนอความเงียบสงบของเรียวกัง (โรงแรมขนาดเล็ก) แบบดั้งเดิมเข้ากับประโยชน์ใช้สอยและความหรูหราของสถาปัตยกรรมร่วมสมัย เป็นเครื่องพิสูจน์ถึงการผสมผสานระหว่างประเพณีและความทันสมัยของญี่ปุ่นอย่างไร้ที่ติ

.

ด้านหน้าเป็นสวนสไตล์เอเทรียมชวนให้นึกถึงบ้านญี่ปุ่นโบราณ ตัวอาคารออกแบบโดย Rie Azuma สถาปนิกชื่อดัง เป็นไปตามหลักสุนทรียศาสตร์ของญี่ปุ่น คือWabi-Sabi (วาบิ-ซาบิ) ความงามของความไม่สมบูรณ์แบบ นำไปสู่ความสง่างามและความสงบ องค์ประกอบหลายอย่างภายเป็นงานฝีมือช่างท้องถิ่นเพื่อแสดงความเคารพต่อมรดกงานฝีมืออันยาวนานของญี่ปุ่น

.

โรงแรม (ไม่สิ!! ต่อไปขอเรียกว่าเรียวกัง) แห่งนี้ไม่มีทางเข้าขนาดใหญ่ มีเพียงโลโก้เล็กๆ ประดับผนัง ภายนอกเป็นเสาหินสีดำเรียบหรู Facade เป็นลวดลายที่เรียกว่า Shippō จากสมัยเอโดะ ทำให้เกิดความรู้สึกลึกลับและเป็นกันเอง ส่วนประตูทางเข้าขนาดใหญ่ทำจากไม้ไซเปรสแผ่นเดียวผ่าครึ่งทำให้รู้สึกอบอุ่น

.

#เรียวกังที่สวยที่สุดของโตเกียวเชิญชวนให้เราไม่ต้องทำอะไรเลยนอกจากมาพักผ่อน

.

เมื่อมาถึงพนักงานจะขอให้เราถอดและเก็บรองเท้าเอาไว้ในตู้ไม้ ราวกับว่ากำลังจะเข้าไปเยี่ยมชมบ้าน เป็นการให้ความสำคัญต่อวัฒนธรรมญี่ปุ่น

.

ชั้น 2 เป็นแผนกต้อนรับ โดดเด่นด้วยเคาน์เตอร์รูปวงรีสีแดง นอกจากเช็คอินแล้วยังเป็นพื้นที่ให้เราสามารถมีส่วนร่วมในการสาธิตที่เน้นศิลปะญี่ปุ่นแบบดั้งเดิมในแง่มุมต่างๆ เช่น พิธีชงชามัทฉะ ดนตรีคลาสสิกและการชิมสาเกในทุกวัน

.

จากนั้น พนักงานจะพาเราไปที่ห้องพัก แต่ละชั้นมีห้องพัก 6 ห้อง จากทั้งหมด 14 ชั้น รวม 84 ห้อง มีทั้งหมด 3 Type ได้แก่ ยูริ (Yuri) ซากุระ (Sakura) และห้องที่เราพักคือคิคุ (Kiku) ขนาดใหญ่ที่สุด 83 ตารางเมตร เป็นห้องมุมที่มีโต๊ะรับประทานอาหาร มุมทำงาน และโซฟาขนาดใหญ่ เปิดรับแสงธรรมชาติได้มากขึ้นเนื่องจากหันหน้าไปทางทิศใต้ หน้าต่างบานเลื่อนทำจากกระดาษโชจิ พื้นเสื่อทาทามิ ส่วนทีวีจะซ่อนตัวอยู่ในกระจกเงาเพื่อไม่ให้เราถูกรบกวนการพักผ่อน

.

ห้องน้ำมีอ่างล้างหน้า แบบ His & Her ทำให้รู้สึกสบายเป็นพิเศษ ด้านนอกเป็นฝักบัวแบบยืนและนั่งอาบสไตล์ออนเซ็น สำหรับชำระล้างร่างกายก่อนที่จะลงแช่ตัวในอ่างทรงลึกสีดำ ก่อนที่ช่วงค่ำเราจะได้นอนบนฟูกนุ่ม ๆ บนพื้นยกสูงเล็กน้อยสไตล์เรียวกังแท้ๆ แต่มีชุดเครื่องนอนสีขาวที่หรูหรา

.

ภายในห้องมีตู้เสื้อผ้าแบบวอล์กอิน ในลิ้นชักเตรียมชุดนอนและชุดกิโมโนเอาไว้ให้เราใส่ ช่วยเพิ่มกลิ่นอายในการเข้าพัก เอาเข้าจริงเราแทบจะไม่ได้ออกไปไหนเพราะมีกิจกรรมให้ทำตลอดเวลา

.

แต่ละชั้นมีเลานจ์ส่วนกลางหรือ Ochanoma ซึ่งแขกจากทั้ง 6 ห้องในแต่ละชั้นใช้ร่วมกัน บริการเครื่องดื่มฟรี เช่น ชา กาแฟ สาเก เบียร์ และของว่างตามฤดูกาล คอนเซปต์นี้ลักษณะแบบเอนกาวะซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมแบบดั้งเดิม เป็นพื้นที่เปลี่ยนผ่านระหว่างภายในและภายนอก ซึ่งมักพบในบ้านญี่ปุ่นโบราณ

.

ที่นี่มีห้องอาหารซึ่งไม่มีชื่อทั้งหมด 10 โต๊ะอยู่ชั้นใต้ดินและต้องจองล่วงหน้าเท่านั้น แม้จะเป็นการรับประทานอาหารเช้าก็ตาม ห้องอาหารตกแต่งผนังด้วยดินเหนียวและหินคล้ายกับถ้ำ ร้านอาหารที่นี่เสิร์ฟสไตล์ Nippon Cuisine เป็นการทำอาหารที่เน้นไปที่ปลา ตามสไตล์เรียวกัง ทว่าจัดเตรียมและปรุงโดยใช้เทคนิคแบบฝรั่งเศส

.

ด้วยความที่เป็นเรียวกัง แน่นอนว่าต้องมีออนเซ็นในตัว ซึ่งตั้งอยู่ที่ชั้นบนสุด ด้วยท่อส่งน้ำมาจากความสูง 1,500 เมตรจากใต้ถนนในโตเกียว โดยมีทั้งพื้นที่ในร่มและกลางแจ้ง ด้านหน้าจะเป็นห้องแต่งตัวและโถงอาบน้ำแบ่งแยกชายและหญิง

.

ที่นี่ไม่มีฟิตเนส เราจึงใช้วิธีวิ่งบนเส้นทาง 5 กิโลเมตรที่วนรอบพระราชวังอิมพีเรียลแทน ส่วนตอนเช้าจะมีกิจกรรมที่เรียกว่า Kenjutsu ศิลปะการป้องกันตัวแบบญี่ปุ่นซึ่งจะต้องไปฝึกกันบนชั้นดาดฟ้า เพื่อรับพลังแสงแรกของวัน บรรยากาศดีมาก

.

โดยรวมแล้ว HOSHINOYA Tokyo สะท้อนถึงหลักปรัชญาของโรงแรมได้อย่างสมบูรณ์แบบ นั่นคือการมอบประสบการณ์แบบญี่ปุ่นแท้ๆ แม้ห้องพักไม่มีวิวสวยจากตึกพักชั้นสูงๆ ให้ดูชมเหมือนกับการเข้าพักที่ Aman Tokyo, Four Seasons หรือโรงแรมห้าดาวอื่นๆ แต่ถึงกระนั้น ภายในก็ยังมีดีไซน์ที่น่าดึงดูดมากพอด้วยการนำเอาแก่นแท้ของเรียวกังมาอยู่ท่ามกลางบรรยากาศของเมืองร่วมสมัย โดยมีสภาพแวดล้อมอันเงียบสงบและการต้อนรับที่ยอดเยี่ยม

จองห้องพัก https://hoshinoya.com/tokyo/en/

#Hoshinoya#Tokyo#HoshinoyaTokyo#Hoshinoresorts#Japan

เราชอบไอเดียการออกแบบบริเวณนี้ ผนังด้านข้างที่เห็นเป็น “ตู้เก็บรองเท้า” ที่ซ่อนไว้ในลวดลายแบบญี่ปุ่นสมัยเอโดะ มันเจ๋งมาก

เมื่อมาถึงพนักงานจะรอต้อนรับเราอยู่บริเวณนี้ ซึ่งดูจากทางเข้าจะนำเสนอความเรียบง่าย เหมือนไม่มีโรงแรมหรืออะไรทั้งสิ้น

พิธีชงชาแบบญี่ปุ่นดั้งเดิม

ที่นอนแบบเรียวกังแท้ๆ แต่หนาและนุ่มดีมาก อยากซื้อกลับไปไว้ที่บ้านเลย นอนสบายสุดๆ

กิจกรรมนี้ดี ชื่อว่า Kenjutsu ศิลปะการป้องกันตัวแบบญี่ปุ่นซึ่งจะต้องไปฝึกกันบนชั้นดาดฟ้า เพื่อรับพลังแสงแรกของวัน บรรยากาศดีมาก

ทางเข้าอีกด้านสำหรับรถยนต์สามารถมาลง Drop-Off ตรงนี้ได้

ทางเข้าทั่วไปสำหรับเดินเข้าออก ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางตึกออฟฟิศต่างๆ

ทางเข้ามีเพียงประตูไม้บ้านใหญ่ ดูไม่ออกเลยว่าเป็นโรงแรมหรือเรียวกังอะไร นำเสนอเพียงความเรียบง่ายที่ไม่ธรรมดา

พนักงานจะรอต้อนรับเรา พร้อมกับขอให้เราถอดรองเท้าเหมือนเข้าไปพักบ้านคนญี่ปุ่น จากนั้นจะเก็บไปไว้ในกล่องซึ่งมีเลขห้องเล็กๆ ติดไว้อยู่ ถ้าจะรับรองเท้าก็สามารถแจ้งพนักงานได้

ด้านในยกพื้นขึ้นมาสำหรับจัดแสดงศิลปะการจัดดอกไม้ขั้นสูงแบบญี่ปุ่น จะเปลี่ยนไปตลอดเวลา

กดลิฟต์ขึ้นมาชั้น 2 จะเป็นในส่วนของแผนกต้อนรับ มีเพียงเคาน์เตอร์สีแดงขัดเป็นทรงกลมดูเรียบง่าย ไม่มีอะไรที่รกสายตาปรากฎให้เห็น

ด้านในเป็นพื้นที่นั่งของแขกระหว่างเช็คอิน ฟีลเหมือนเรียวกังที่เคยไปพัก ผนังอีกด้านเป็นตู้โชว์ของ (ขาย) เป็นที่ระลึกจากทางโรงแรม

อีกฝั่งก็มีที่นั่งเช่นกันแต่จะส่วนตัวกว่าเพราะมีที่กั้นเพื่อบังสายตา

จากนั้น พนักงานจะพาเราขึ้นมายังห้องพักซึ่งอยู่ชั้นบน ตั้งแต่ชั้น 3-ชั้น 16 ซึ่งเราพักชั้นนี้ ทุกชั้นจะตกแต่งเหมือนกัน

โถงทางเดินระหว่างเข้าห้องพัก จะดูมืดๆ เรียบๆ ตามสไตล์ญี่ปุ่น ทุกชั้นจะวางผังเหมือนกัน มี 6 ห้อง ที่นี่จะมีห้องพักแค่ 3 แบบตั้งชื่อตามดอกไม้คือ Sakura , Yuri และ Kiku

ห้องพักของเราเป็นห้อง Type สูงสุด คือ Kiku ห้องใหญ่มาก มีโถงทางเดินเข้าห้องเพื่อตรงสู่ห้องนอนและมุมแต่งตัว หรือจะเดินมาอีกด้านเพื่อไปยังมุมนั่งเล่นก็ได้เช่นกัน

ห้องนี้ตกแต่งด้วยสีน้ำเงินเข้ม ดูเรียบนิ่งเท่มาก ตกแต่งในสไตล์เรียวกังโบราณ ไม่ว่าจะเป็นการใช้ผนังบานเลื่อนที่ทำจากกระดาษสา หรือที่ญี่ปุ่นเรียกว่าโซจิ ทุกอย่างเป็นไม้ให้ความรู้สึกเป็นธรรมชาติแบบเรียวกังญี่ปุ่น มุมพักผ่อนมีเพียงฟูกนอนขนาดใหญ่กว่าเรียวกังทั่วไป ปูไว้ดีมาก ตึงแน่นเปรี้ยะ!!

ห้องน้ำสวยมาก ดูเรียบหรู แบ่งออกเป็น 3 ส่วนคือตรงกลางเป็นอ่างล้างหน้าแบบ His & Her พร้อม Amenities ของโรงแรมเป็นแบรนด์ญี่ปุ่น LIRIO เน้นส่วนผสมจากธรรมชาติ

ด้านขวาเป็นห้องสุขา ส่วนด้านซ้ายเป็นห้องอาบน้ำที่มีทั้งแบบฝักบัว นั่งอาบและอ่างอาบน้ำหินขัดสีดำขนาดใหญ่

วันแรกเรายังไม่อาบน้ำ เอ๊ยยย เรากดลิฟต์ไปที่ชั้น 17 เพื่อจะไปยังออนเซ็นครับ จะมาอาบน้ำและแช่ออนเซ็นที่นี่

บรรยากาศภายในออนเซ็น เหมือนอยู่ในเรียวกังตามต่างจังหวัดเลยครับ มีตะกร้าผ้า โต๊ะเครื่องแป้งขนาดใหญ่ เปลี่ยนเสื้อผ้ากันในนี้เลยครับ เราไปก่อนเวลาเปิดเล็กน้อยเพื่อเก็บภาพ

(ภาพถ่ายในออนเซ็นได้รับอนุญาตจากทางโรงแรมเรียบร้อยแล้วครับ

ด้านในเป็นพื้นที่อาบน้ำ ชำระล้างก่อนลงไปแช่ออนเซ็น เหมือนเป็นบรรยากาศของเรียวกังที่เราคุ้นเคยเลยครับ

บ่อออนเซ็นจะมี 2 จุดคือด้านในเป็นพื้นที่ในร่มใกล้กับจุดอาบน้ำ

ส่วนด้านนอกจะเป็นพื้นที่เอ้าท์ดอร์แบบกึ่งปิด เพราะตอนนี้เราอยู่ชั้น 17 ของตึกสูงใจกลางโตเกียวนะครับ ผนังด้านข้างเปิดได้ และมีช่องแสงเปิดจากด้านบนลงมาให้เรานั่งแช่น้ำมองท้องฟ้าได้เลยครับ

แช่ออนเซ็นแล้วจะมานวดต่อที่สปาก็ได้ซึ่งอยู่ชั้นเดียวกันแต่คนละฝั่ง

หลังจากอาบน้ำเสร็จแล้ว เราลงไปทานดินเนอร์กันที่ห้องอาหาร ชั้น B1 ซึ่งไม่มีชื่อและไม่ต้องกลัวหลงเพราะมีอยู่ห้องเดียว

ห้องอาหารตกแต่งเรียบง่ายสไตล์ญี่ปุ่นด้วยการจัดวางหิน แจกัน ไม้ ราวกับเป็นพิพิธภัณฑ์แสดงงานศิลปะ ผนังประดับด้วยหินขนาดใหญ่เพื่อให้รู้สึกเหมือนอยู่ในถ้ำ

ห้องอาหารของเราถูกจัดวางไว้แบบเรียบง่าย ภายในห้องมีตู้จัดวางโชว์แจกันไว้ 2 ใบ (แต่เป็นแจกันเก่าหายาก)

ถามพนักงานว่าทำไมเขาถึงตกแต่งแบบโล่งๆ ใช้สีดำ เหมือนไม่มีอะไรเลย

พนักงานบอกว่า ต้องการให้เราได้ใช้เวลากับอาหารตรงหน้าและรสชาติมากกว่าจะโฟกัสอย่างอื่นครับ

อาหารค่ำจะเสิร์ฟสไตล์ฝรั่งเศสผสมญี่ปุ่น คือเป็นเมนูญี่ปุ่นที่ใช้เทคนิคขั้นสูงในการปรุงอาหาร เสิร์ฟเป็นคอร์สครับ อาจจะมีเมนูที่แตกต่างกันไปในแต่ละวัน

ส่วนอาหารจานหลัก แน่นอนว่าต้องเลือกเป็นเนื้อวากิวเท่านั้น เสิร์ฟพร้อมกับซอสที่รสชาติละมุนอ่อนโยนไม่กลบรสชาติของเนื้อเลยครับ ส่วนเนื้อก็คือดีมาก นุ่มละลายในปากเลยครับ

กินข้าวคนเดียวอีกแล้วจ้าาาาาา

ปิดท้ายมื้ออาหารด้วยมัจฉะอุ่นๆ พร้อมช็อคโกแล็ต

จากนั้น ก็ได้เวลาเข้านอนครับ ตั้งแต่นอนฟูกมาทั่วญี่ปุ่น ผมยกให้ที่นี่นะ ค่อนข้างหนาแต่นุ่มกว่า เพราะปกติเราจะเจอแบบนุ่มคือนิ่มติดพื้นไปเลย กับแบบก้อนแข็งๆ ที่ำสำคัญคือสะอาดมากกกกก

ส่วนบานเลื่อนสามารถเปิดได้จะเจอกับลวดลายญี่ปุ่นโบราณสมัยเอโดะซึ่งกลายเป็นภาพจำของญี่ปุ่นไปเสียแล้ว

ตอนเช้า เราจองทำกิจกรรมที่ถือว่าเป็นไฮไลท์เลยครับ นั่นคือไปออกกำลังกายบนชั้นดาดฟ้า (ของอีกตึก) ซึ่งอยู่ติดกัน เรียกว่า Kenjutsu ศิลปะการป้องกันตัวแบบญี่ปุ่นซึ่งจะต้องไปฝึกกันบนชั้นดาดฟ้า เพื่อรับพลังแสงแรกของวัน บรรยากาศดีมาก

เนื่องจากเป็นลานจอดเฮลิคอปเตอร์ จึงห้ามพกกล้องขึ้นไป ไม่อนุญาตให้วางอะไรไว้ที่พื้น แต่โทรศัพท์เอาไปได้จะมีซองซิปใส่ไว้ให้ เมื่อฝึกเสร็จถึงจะอนุญาติให้โพสต์ท่าถ่ายรูป

จากนั้น ก็ไปอาบน้ำแต่งตัวลงมาทานอาหารเช้ากันที่ห้องอาหารเดิมซึ่งไม่มีชื่อ

คราวนี้เปลี่ยนห้องบ้างแต่ยังได้บรรยากาศคล้ายๆ กัน พนักงานเสิร์ฟอาหารเช้ามาในกล่อง เราเลือกเป็นเซ็ตอาหารญี่ปุ่น

แค่การออกแบบกล่องก็กินขาด เปิดออกมาแล้วสามารถจัดวางเรียงกันได้อย่างลงตัว เมนูหลักเป็นแซลม่อนย่างซีอิ้ว พร้อมข้าวญี่ปุ่นที่หุงในหม้อนี้เลยครับ เสิร์ฟเพื่อเราคนเดียว 1 หม้อ

อีกเช้าเราเลือกทานที่ห้องเป็นอาหารแบบอเมริกัน เพื่อให้ได้ฟีลที่แตกต่างกัน

สายๆ มานั่งเล่นที่พื้นที่ส่วนกลางซึ่งแต่ละชั้นจะมีเหมือนกัน เรียกว่า Ochanoma ซึ่งแขกจากทั้ง 6 ห้องในแต่ละชั้นใช้ร่วมกัน แต่เราไม่เคยเจอแขกคนอื่นเลยครับ

เราเลยชอบมานั่งทำงานที่ห้องนี้ มีชา กาแฟ สาเก ขนม ของว่างทานได้ฟรีและเติมตลอดเวลา แทบไม่เคยมีขยะเหลือในถัง ของเติมตลอด เป็นเล้าจน์ที่หรูหราสุดละ

มุมทำงานมีให้เลือกนั่งหลายจุดมาก อย่าลืมว่า 1 ชั้น แขกใช้งานแค่ 6 ห้อง มากสุดก็ 12 คน แต่มีที่นั่งจัดไว้เยอะมาก

จากนั้น ไปเข้าร่วมพิธีชงชา หรือ Tea Ceremony ศิลปะแบบญี่ปุ่นโบราณแท้ๆ เสียดายวันที่เราไปไม่ได้เจอพิธีชงชาชุดใหญ่จากในพระราชวังอิมพีเรียล

พนักงานกำลังสาธิตและสอนเราชงชา ซึ่งพบว่า เราใช้แปรงชงมัทฉะ หรือมีชื่อเรียกอีกอย่างว่า ฉะเซ็น ผิดวิธีมาโดยตลอด คือไม่ได้ตีหมุนเป็นวงกลม แต่ให้ตีขึ้นลง เพื่อให้เกิดฟองที่นุ่ม ก็เป็นความรู้ใหม่

ส่วนช่วงเย็นมีสาเกให้ดื่มฟรี มีเหล้าญี่ปุ่นด้วย นั่งจิบได้ทุกวันที่ล็อบบี้เล้าจน์

เอาเป็นว่า ชอบมาก ตอนนี้ให้ยืนหนึ่งในใจ สำหรับความเป็นเรียวกังในโตเกียว เป็นการส่งมอบประสบการณ์แบบญี่ปุ่นดั้งเดิมที่ดีมากให้กับเรา

จองห้องพัก https://hoshinoya.com/tokyo/en/

KΔNT
KΔNT

อดีตผู้ประกาศข่าวสายเศรษฐกิจ เจ้าของเพจ KANT.CO.TH ชื่นชอบในไลฟ์สไตล์ การท่องเที่ยวพักผ่อน ในโรงแรมหรู สนใจเรื่องราวงานดีไซน์ อสังหา การตลาด การลงทุน