ห่างจากสนามบินเชียงใหม่ มุ่งหน้าอำเภอหางดง ราว 30 นาที เป็นที่ตั้งของรีสอร์ต MGallery ในเครือ Accor แห่งเดียวของเชียงใหม่ “Veranda High Resort Chiang Mai – MGallery” (วีรันดา เชียงใหม่ ไฮ รีสอร์ต – เอ็ม แกลลอรี่) โรงแรมแบบบูติกที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เพื่อเป็นบันทึกการเดินทางที่น่าจดจำ
กานต์ไปพักผ่อนที่นี่มาเมื่อช่วงปลายหนาวที่ผ่านมาครับ ท่ามกลางบรรยากาศของขุนเขาที่รายล้อม แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าเป็นอัตลักษณ์ของการเที่ยวเชียงใหม่ในการอยู่ท่ามกลางธรรมชาติสีเขียว แต่สำหรับที่นี่ ดูจะมีความยูนีคอยู่ในตัวพอสมควร ด้วยความตั้งใจที่จะให้ วีรันดา เชียงใหม่ เดอะ ไฮ รีสอร์ต เป็นที่หมายของกลุ่มลูกค้าวัยทำงานที่ชื่นชอบไลฟ์สไตล์ที่แตกต่าง นิยมการท่องเที่ยวแบบมีสีสันและชื่นชอบพักผ่อนในสถานที่ที่มีคอนเซ็ปต์ดีไซน์บ่งบอกรสนิยมของตนเอง การออกแบบและตกแต่งจึงเน้นไปที่ความเป็นโมเดิร์นเชียงใหม่ ให้ความรู้สึกแตกต่าง เน้นวัสดุชั้นดี ดีไซน์สุดเก๋ และหรูหรามีระดับ ผสมผสานวัฒนธรรมล้ำค่าของภาคเหนือและความร่วมสมัยในแบบฉบับของวีรันดา สะท้อนไลฟ์สไตล์ความเป็นตัวของตัวเอง ยิ่งไปกว่านั้นทุกห้องยังเห็นวิวทิวเขาท่ามกลางธรรมชาติ รายล้อมรอบด้วยหุบเขา และบรรยากาศนอกเมืองเชียงใหม่อันแสนสงบและคงไว้ซึ่งความสวยสดงดงาม
The Lobby
รถตู้ที่ไปรับมาจากสนามบินจอดที่บริเวณด้านหน้า ก่อนจะเดินผ่านกำแพงดินและซุ้มประตูเข้าไป ซึ่งให้ความรู้สึกเหมือนเวลามาเชียงใหม่ที่มีประตูเมืองเก่า คอยทำหน้าที่ป้อมปราการ ก่อนจะผ่านเข้าไปด้านในที่มีด่านที่สองเป็นคูเมือง ที่วีรันดาเชียงใหม่ก็เช่นกัน หลังจากเดินผ่านประตูเข้ามาจะพบกับสระน้ำตื้นขนาดใหญ่ที่ปลูกบัวไว้ตรงกลาง เบื้องหน้าที่เราต้องเดินผ่านโถงทางเดินสไตล์ล้านนาไป คือล้อบบี้ที่รอต้อนรับและทำหน้าที่เช็คอิน
ล้อบบี้เป็นเหมือนซุ้มขนาดใหญ่ ภายในประดับประดาด้วยโคมไฟรูปทรง ดีไซน์และขนาดที่แตกต่างกัน เล่นระดับในความเป็นโมเดิร์น มีซุ้มหวายเล็กๆ บุด้วยเบาะผ้านุ่มๆ กระจายตัวอยู่ทั่วล้อบบี้สำหรับต้อนรับผู้เข้าพัก สำทับด้วยเวลคัมดริงก์เย็นๆ และมาลัยกรต้อนรับ ทำให้การเดินทางอันแสนเหนื่อยล้าจากการตื่นเช้า กระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันที มองออกไปจากล้อบบี้ เห็นชาขั้นบันได – ใช่แล้ว ผมไม่ได้พิมพ์ผิด เป็นแนวต้นชาที่ปลูกลดหลั่นกันออกไป สุดลูกหูลูกตา สลับกับอาคารห้องพักและส่วนบริการต่างๆ ของทางรีสอร์ต ส่วนฉากหลังเป็นแนวทิวเขาสีเขียวที่ทอดยาวและสูงต่ำราวเกลียวคลื่น ตอนเช้าๆ จะเห็นหมอกปกคลุมอยู่เป็นภาพที่สวยงามน่าดูชมเป็นอย่างมากครับ
Checked In
เมื่อกระบวนการเช็คอินเสร็จสิ้น รถกอล์ฟจะพาเราลัดเลาะขึ้นไปตามทางภายในรีสอร์ต เพื่อไปยังห้องพัก ซึ่งมีด้วยกันหลาย type จำนวนทั้งหมด 69 ห้อง ในโลเคชั่น วิวและการตกแต่งที่แตกต่างกันออกไป ส่วนตัวชอบห้องวัลเลย์ ดีลักซ์ เอสเคป ที่พันเข้าหากำแพงเมืองโบราณจำลอง (ซึ่งทำให้เก่าได้เหมือนกำแพงเมืองของเก่ามาก) แถมยังมีคูเมืองคล้ายกับพูลวิลล่า แต่ไม่น่าเล่นน้ำสักเท่าไร
แต่อีกใจก็ชอบวิวไร่ชาและภูเขาห้องจากุซซี่ พาวิลเลียน ที่มาพร้อมอ่างอาบน้ำบนระเบียงเปิดโล่งขนาดใหญ่ ถ้าได้แช่น้ำ จิบไวน์ ชมวิว ก็คงจะรีแล็กซ์ดี ซึ่งแต่ละห้องก็จะทำหน้าที่มอบความรู้สึกผ่อนคลายให้แก่ผู้เข้าพักเสมือนเป็นโอเอซิสแห่งความสงบ
ห้องพัก type ที่ผมเลือกก็ไม่น้อยหน้า เพราะได้ทั้งความเป็นเมืองเก่าและวิวภูเขาในตัว คือห้องแบบวัลเลย์ ดีลักซ์ ซีนเนอร์รี่ วิวภูเขา ขนาด 43 ตารางเมตร และเพิ่มระเบียงอีก 15 ตารางเมตร ซึ่งใหญ่มากเหมาะแก่การพักผ่อน ภายในตกแต่งสไตล์โมเดิร์นล้านนา ชอบหมอนปักลายชนเผ่ามากๆ น่ารักดี ภายในห้องมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน เสียดายที่ห้องนี้อ่างอาบน้ำอยู่ด้านใน แนะนำให้อัพเกรดไปเป็นห้อง มองจากห้องพักออกมาจะเห็นวิวไร่ชาขั้นบันไดลดหลั่น ทอดยาวไปจนถึงร้านอาหารระเบียงชา ที่ถูกออกแบบมาโดยได้รับแรงบันดาลใจจาก “หลองข้าว” หรือว่ายุ้งข้าวของชาวนา เป็น “เฮือนบ่าเก่า” ที่เอามาตีความ รีโนเวทใหม่ ให้มีความร่วมสมัยมากขึ้น มีทั้งห้องส่วนตัวและโต๊ะด้านนอกบริเวณกลางแจ้ง ตลอดจนลานสนามหญ้าที่สามารถประยุกต์มาเพื่อจัดงานต่างๆ อย่างวันที่ผมไปพัก ทางโรงแรมก็จัดให้เป็นบรรยากาศแบบ Lanna Dinner
ร้านอาหารระเบียงชา ให้บริการไทยทั้งในรูปแบบอาหารเหนือประยุกต์ ตลอดจนอาหารไทยและอาหารตะวันตก แต่รสชาติอาหารของที่นี่ค่อนข้างจะออกรสชาติกลางๆ ไม่จัดจ้านจนเกินไป บางจานก็หวานเกิน คงทำให้เหมาะกับลูกค้าต่างชาติด้วย อย่างจานหลักที่ผมทานคือ เสต๊กหมูคุโรบุตะนำไปคาราเมลไรซ์กับเห็ดและหอมหัวใหญ่ หวานจนรู้สึกว่ามันไม่เข้ากันเลย แต่ Appritizer ขันโตกอาหารเหนืออร่อยมาก ทานข้าวเหนียวกับน้ำพริกหนุ่ม ไส้อั่ว เกือบหมดถาดจนต้องขอเติม
แต่ที่สนุกออกรสออกชาติกว่า คือการได้นั่งสนทนากับ GM ของโรงแรม เป็นคนที่คุยสนุก เล่าประสบการณ์ในการเป็น GM โรงแรมต่างๆ ทั้งในต่างประเทศและในไทยให้ฟัง ตลอดจนการใช้ชีวิตในเมืองสโลว์ไลฟ์ของฝรั่งในเมืองเชียงใหม่ บทสนทนาดีๆ ทำให้อาหารมื้อนี้อร่อยและประทับใจได้มากครับ
ห้องอาหารอีกแห่งคือ The Higher Room Restaurant ชื่อก็บอกแล้วว่าอยู่บนชั้น 4 ติดกับสระว่ายน้ำแบบ Infinite Pool ซึ่งเป็นวิวที่สวยงามมาก ฉากของภูเขาสีเขียวสุดลูกหูลูกตา ตัดกับสีฟ้าของน้ำในสระ ควบคู่ไปกับการออกแบบสไตล์โมเดิร์น เพื่อการพักผ่อนที่แท้ทรู สระมีขนาดใหญ่ สามารถว่ายน้ำออกกำลังกายได้จริงจังเลยครับ เปิดตั้งแต่เช้าเวลาเดียวกับที่ห้องอาหารเริ่มให้บริการ ดังนั้น เราสามารถเดินไปตักอาหารเช้าซึ่งเป็นบุฟเฟต์แล้วออกมานั่งทานที่ซุ้มด้านนอกเพื่อรับแสงแดดอ่อนๆ ของวัน บรรยากาศเสมือนรับประทานอาหารท่ามกลางหุบเขา ที่สามารถชมวิวความงดงามของขุนเขาและร่มไม้ ยามเช้าของที่นี่จะสามารถมองเห็นสายหมอกลอยผ่านไหลไปตามซอกหุบเขา ก็เป็นการเริ่มต้นเช้าวันใหม่ที่ดีครับ ทั้งยังเป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกยามเย็นที่สวยงามอีกด้วยครับ
The Higher Room เป็นร้านอาหารที่เปิดตลอดทั้งวัน อาหารเช้าที่นี่ให้บริการที่หลากหลายน่าประทับใจมาก การจัดวางไลน์ค่อนข้างลงตัว เน้นเรื่องสุขภาพเป็นหลักครับ มีขนมปัง gluten-free เตรียมไว้ให้ด้วย ส่วนเบเกอรี่ อร่อยดีทุกตัว มีน้ำส้มคั้นสด มีขนมไทยให้ทานในแต่ละวันไม่ซ้ำกัน ผักสดที่จัดวางไว้ให้ทำสลัดในแบบของเราเอง หรือจะสั่งอาหารจานไข่จากพนักงานด้านนอกก็ได้ครับ แต่ที่ชอบมากคือมีอาหารเหนือมาแจมด้วย เช้าละ 1 เมนู เช้าแรกที่เจอ “คั่วหน่อไม้ใส่ไข่” ดีใจแทบจะเป็นลมเพราะเป็นอาหารจานโปรดของผมเองครับ
ทางขึ้นไป The Higher Room
ช่วงบ่าย สามารถมานั่งทาน Afternoon Tea ที่นี่ได้ครับ บรรยากาศดียามบ่าย กับการจิบชาคู่กับขนมหวานอันหลากหลาย Executive Pastr Chef น่ารักมาก คอยเดินมาเชียร์อัพขนมให้ทานหลายตัว ผมว่าของหวานที่นี่รสชาติดีมากครับ ถ้าไปเชียงใหม่ครั้งหน้า ตั้งใจว่าจะขับรถเพื่อมาทานชาที่นี่โดยเฉพาะเลย
นอกจากสระว่ายน้ำที่อยู่ติดกับ The Higher Room Restaurant ใกล้กับห้องที่ผมพักยังมีอีกหนึ่งสระขนาดไม่ใหญ่มาก แต่วิวสวยมาก เหมาะสำหรับการขนเสื้อผ้ามาเพื่อถ่ายรูปในบรรยากาศสวยๆ
Out of Hotel
ถ้ามองออกไปจากห้องอาหาร The Higher Room ผ่านสระว่ายน้ำ เราจะเห็นสิ่งก่อสร้างอยู่ไกลๆ คล้ายปราสาทของชาวล้านนา ถาม GM ได้ความว่าเป็นโลหะปราสาท พระธาตุศรีเมืองปง ตอนสายๆ จึงพาเราไปชมที่นั่นด้วยครับ ซึ่งกำลังอยู่ระหว่างการก่อสร้าง ยังไม่แล้วเสร็จ เพราะใช้ทุนค่อนข้างสูง การก่อสร้างก็ค่อนข้างยาก เพราะตั้งอยู่บนเขา แต่งานสถาปัตยกรรมนั้น วิจิตรงดงามมากครับ วัดบ้านปงเป็นศูนย์กลางทางวัฒนธรรมและจิตวิญญาณของชาวบ้านในพื้นที่ เราสามารถเดินเท้าขึ้นเขาไปโลหะปราสาทได้ มีบันได 999 ขั้นครับ แต่ถ้าจะให้ดี นั่งรถยนต์ขึ้นไปเถอะครับ จะได้ไม่เหนื่อยมาก หากใครสนใจลองสอบถามทางโรงแรมดูให้เค้าพาไป
ช่วงสายเราออกไปชมวิถีชีวิตแบบเศรษฐกิจพอเพียง เลี้ยงตัวเองได้อย่างยั่งยืนที่ PUR Farm ของ PUR Projet ซึ่งเป็นโปรเจ็คระดับโลก โดยคุณ Tristan Lecomte ชาวฝรั่งเศสเป็นผู้ก่อตั้ง โดยมีสำนักงานใหญ่อยู่ในปารีส เพื่อที่จะได้ศึกษาเรียนรู้ และเสริมความแข็งแกร่งให้กับห่วงโซ่อุปทานผ่านการทำเกษตรกรรม เป็นการเพิ่มขีดความสามารถให้เกษตรกรของไทยแบบครบวงจร ทั้งการปลูกพืชผัก การอนุรักษ์ต้นไม้ การเลี้ยงสัตว์ เพื่อนำไปสู่การมีวิถีชีวิตแบบยั่งยืน ในขณะเดียวกัน โครงการนี้ได้ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก สร้างโอกาสการจ้างงานสำหรับคนในท้องถิ่น และส่งเสริมวิถีชีวิตในการเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน
สิ่งแรกที่ได้จากการมาเยี่ยมชม PUR Project คือการได้รู้ว่า มีองค์กรระดับโลกมากมายที่สนใจเรื่องสิ่งแวดล้อมของไทย เน้นให้คนในท้องถิ่น เรียนรู้จักรักษ์ชุมชน นำนวัตกรรมใหม่เข้ามาใช้ในการเกษตรเช่น biodynamic การปลูกข้าวโดยไม่ใช้น้ำ ลดการปล่อยก๊าซมีเทนลงในนาข้าว ลดข้อจำกัดและเพิ่มขีดความสามารถในการทำการเกษตร เป็นกิจกรรม Green Elite Experiences ที่โรงแรมในเครือ Accor เดินหน้าเรื่องนี้มาโดยตลอด ในการให้แขกของโรงแรมและรีสอร์ทหลายแห่ง ได้ร่วมดื่มด่ำกับธรรมชาติที่อยู่รอบๆ ที่พัก และให้พวกเขาเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีที่พวกเขาสามารถมีส่วนร่วมในการปกป้องโลกและดูแลคุณภาพชีวิตของผู้คนอย่างยั่งยืน
อีกจุดหนึ่งที่ได้ไปเยี่ยมคือไร่ชา Araksa “ไร่ชาอรักษ” (อ่านว่า อะ-รัก-สะ) มาจากภาษาสันสกฤตที่แปลว่า “รักษาให้คงอยู่” เป็นไร่ชาออร์แกนิกที่เป็นอีกหนึ่งจุดหมายที่น่าสนใจ นั่งรถออกไปไกลหน่อย เพราะตั้งอยู่ที่ อ.แม่แตง เป็นไร่ชาออร์แกนิกที่รายล้อมด้วยขุนเขา บรรยากาศดีมาก สวยงาม หากได้มาใช้ชีวิตอยู่กลางไร่ชาแบบนี้ทุกวัน คงเป็นเรื่องที่เกินจะฝันมาก ยิ่งได้ทราบว่า ปรัชญาของไร่ชาอรักษ คือการรักษาและอนุรักษ์ทั้งสภาพแวดล้อม ธรรมชาติล้อมตัวให้คงอยู่ไว้ ยิ่งทำให้รู้สึกว่า การทำอยู่ร่วมกับสิ่งแวดล้อมที่ดี จะทำให้ชีวิตเราดีและมีความสุขอย่างยั่งยืน ทว่าเรียบง่ายมากๆ ครับ
Araksa Organic Tea คือ ชาออร์แกนิคที่มีกรรมวิธีการปลูกแบบธรรมชาติ 100 % ด้วยทุกกระบวนการขั้นตอนตั้งแต่การเพาะปลูก การเก็บใบชา และการผลิตชา ล้วนมาจากวิธีธรรมชาติ ที่นี่ยังเปิดโอกาสให้เราได้เดินเที่ยวชมไร่ชาและลองเก็บชาด้วย จากนั้นก็ไปทำ Tea testing กัน ซึ่งก็ทำให้รู้เลยครับว่า ชา Araksa ทุกตัวมีเอกลักษณ์เฉพาะ มีรสชาติละมุน และเข้ม หอม แตกต่างกันไป สามารถเข้าถึงทั้งรสและกลิ่นจากชาออร์แกนิคขนานแท้ 100 % เพราะที่นี่นำเสนอวัฒนธรรมการคั่วชาในท้องถิ่นด้วยการคั่วมือซึ่งใช้เวลาทำนานมาก และได้ปริมาณน้อย คือใบชาจำนวน 1 กิโลกรัมเมื่อผ่านกระบวนการผลิตทุกขั้นตอนจะเหลือน้ำหนักชาจริงๆ เพียง 2 ขีดเท่านั้น จึงไม่ต้องแปลกใจหากใบชาของที่นี่จะราคาสูงกว่าชาตลาดทั่วไป
William Shakespeare กล่าวเอาไว้ว่า ” … our life, exempt from public haunt, finds tongues in trees, books in the running brooks, sermons in stones, and good in everything.”
ความงามของธรรมชาติคือความจริงที่แท้ทรูของชีวิตครับ Green Elite Experiences กับ Veranda High Resort Chiang Mai – MGallery โดย Accor ทำให้เราได้ตระหนักถึงคำว่า “ใช้ชีวิต” ได้เป็นอย่างดี ผ่านการตีตวามในแง่มุมของปรัชญาแห่งความยั่งยืน เพียงแค่ได้อยู่ท่ามกลางสวนสวยสีเขียว สูดลมหายใจเข้าเบาๆ ลึกๆ ใช้ชีวิตอย่างมีสุนทรียะและรื่นรมย์ ชื่นชมกับความงามที่เกิดขึ้นรอบตัว หนังสือดีๆ สักเล่ม อาหารอร่อยเพื่อสุขภาพสักจาน เพียงเท่านี้ ชีวิตก็จะพบกับคำว่า “ความสุข” ที่แท้จริงแล้วครับ
Veranda High Resort Chiang Mai – MGallery
192 Moo2 Banpong Hangdong
50230
CHIANG MAI
THAILAND
Tel: +666653365007 Fax: (+66)53365362