The Siam

Timeless Treasures: การเดินทางของเมืองสยามตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 ณ โรงแรม The Siam ผ่านของสะสมโบราณของน้อย วงพรู

.

รีวิวนี้กานต์ตั้งใจไม่ออกแบบกราฟฟิคของภาพปก เพราะอยากย้อนกลับไปสู่ความเรียบง่ายในยุคอาร์ตเดโค กับโรงแรมที่เราเคยมาพักแล้วครั้งหนึ่ง ซึ่งเป็นตัวเลือกลำดับต้นๆ เสมอเมื่ออยากออกไปเปลี่ยนบรรยากาศแต่ขี้เกียจขับรถไปไหนไกลๆ เพราะอย่างที่รู้ๆ กันว่าช่วงปลายปีแบบนี้งานแน่นเหลือเกิน

.

The Siam จึงเป็นจุดหมายปลายทางที่น่าสนใจ ได้มีเวลาอยู่กับตัวเอง สัมผัสวิถีชีวิตของลุ่มน้ำเจ้าพระยาและตื่นตาตื่นใจไปกับของสะสมโบราณกว่า 2 หมื่นชิ้นที่คุณน้อย กฤษดา สุโกศล แคลปป์ หรือ “พี่น้อย วงพรู” เก็บมานาน ซึ่งแน่นอนว่ามีชิ้นใหม่ๆ เติมเข้ามาในคอลเลคชั่นเรื่อยๆ ครับ

.

งานออกแบบสะท้อนให้เราเห็นถึงช่วงเวลาแห่งความยิ่งใหญ่ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของกรุงเทพฯ ในสมัยรัชกาลที่ 5 (ประมาณ พ.ศ. 2396-2453) ด้วยสำเนียงแบบอาร์ตเดโค ใช้โทนสีเรียบๆ ได้แก่ สีดำ สีขาว ครีม สีเทา และสีกลางๆ ผสมผสานกับพื้นผิวที่เป็นธรรมชาติ เช่น ไม้ ผ้าทอ หนัง และหิน ตลอดจนสีเขียวของสวนและต้นไม้น้อยใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านสาขาไปทั่ว

.

ทริปนี้เราจองพักแบบวิลล่าดูบ้าง เลือกเป็น Courtyard Pool Villa มาพร้อมกับข้าวของตกแต่งและเฟอร์นิเจอร์เก่า และบางชิ้นเป็นของใหม่ที่ทำให้ดูเก่าเพื่อให้เข้ากับบรรยากาศ เป็นลายเซ็นต์การออกแบบที่ชัดเจนมากของ Bill Bensley ซึ่งแน่นอนว่าใครที่อยู่กับกานต์มาตลอดก็จะรู้ว่า เราเป็น Big Fan ของ Bill มาเสมอ

.

วิลล่ามีขนาดใหญ่ ด้านหน้าเป็นสระส่วนตัวที่มีน้ำตก จัดเป็นที่นั่งพักผ่อนด้านหน้าสไตล์จีน โคโลเนียล เข้ากันดีกับงานตกแต่งภายในที่ประดับด้วยภาพวาด อักษรพู่กันจีนและลวดลายประดับต่างๆ วางเตียงนอนขนาดใหญ่ไว้ตรงกลางแบบยกระดับขึ้นไป ส่วนปลายเตียงเป็นที่นั่งพักผ่อน พร้อมมินิบาร์

.

บนโต๊ะจัดวางผลไม้ต้อนรับพร้อมกับการ์ดเขียนด้วยลายมือของ Nick Downing ซึ่งเป็น GM ของที่นี่ เป็นนายฝรั่งที่น่ารัก เทคแคร์แขกทุกคนอย่างดี ครั้งนี้ The Siam วางขวดน้ำเอาไว้ให้บนโต๊ะสำหรับเติมได้ตามจุดต่างๆ ภายในโรงแรมเพื่อลดการใช้ขวดพลาสติก เช่นเดียวกับ Toilet Amenities ต่างๆ ที่บรรจุมาในขวดเซรามิกโดยมิพักต้องอยากบอกว่ามาจากแบรนด์อะไร Quiet Luxury ที่แท้จริง ที่สำคัญคือห้องน้ำสวยมาก เพดานสูงดูอลังการ ชวนให้นอนตีฟองแช่อ่างทั้งวัน

.

ช่วงเวลาแห่งการพักผ่อนที่ The Siam มีกิจกรรมให้ทำเยอะมาก ทั้งสปา ฟิตเนส ต่อยมวย สักยันต์ ดูหนัง ทำอาหาร หรือถ้าอยากไปช้อปปิ้งก็มีเรือคอยวิ่งให้บริการฟรี เป็นทริปที่เอนจอยไลฟ์มากๆ ครับ เรากินๆ นอนๆ สลับกับทำงานเป็นการ Work from Anywhere หิวก็ฝากท้องไว้ที่เรือนไทยชื่อห้องอาหารช้อน มีบาร์ชิลล์ๆ ริมแม่น้ำเจ้าพระยาให้นั่งตอนเย็นๆ ด้วย และอีกหนึ่งห้องอาหารคือ The Story House ดีไซน์สวยมากบ่งบอกความเป็น Bill Bensley ได้ชัดเจน จนอยากไปพักที่รีสอร์ตของบิลล์ที่กัมพูชาไวๆ

.

อ่อ!! เห็นว่าปลายเดือนนี้จะมีเชฟจาก Shinta Mani Angkor มาทำอาหารสไตล์ ขแมร์ฟิวชั่นให้ทานด้วย เดี๋ยวลงรายละเอียดเพิ่มให้ในคอมเม้นท์นะครับ

.

อยากชวนกดเข้าไปชมรูปเก่าเล่าอดีตและอ่านเรื่องราวของโรงแรม The Siam ในแคปชั่นกันต่อครับ

ดูรายละเอียดเพิ่มเติมและจองห้องพักได้ที่ https://www.thesiamhotel.com/

___________________

Timeless Treasures: The Siam Hotel’s Majestic Journey Through Antiques.

The review expresses a desire to return to the simplicity of the Art Deco era, reminiscent of a hotel once stayed at. This hotel, “The Siam,” is a top choice for those seeking a change of atmosphere without traveling far, especially during the busy end-of-year period.

The Siam offers a chance to immerse oneself in the lifestyle of the Chao Phraya River basin and marvel at a collection of over 20,000 antiques collected by Khun Noi, Krisda Sukosol Clapp, or “Pi Noi Vong Phru.”

The design reflects the grandeur of Bangkok during the reign of King Rama V (circa 1853-1910 AD) with Art Deco accents. The color palette is simple, using black, white, cream, gray, and muted tones combined with natural materials like wood, woven fabric, leather, stone, and the greenery of gardens and trees.

For this trip, I’ve booked a Courtyard Pool Villa, furnished with a mix of antique and new pieces designed to look old, signature designs of Bill Bensley. The author is a big fan of Bill Bensley. The villa is spacious with a private pool featuring a waterfall at the front, a Chinese colonial-style sitting area, and an elevated bed in the center. There’s also a relaxation area at the foot of the bed, complete with a mini-bar.

A welcoming fruit basket was set on the table along with a handwritten card from Nick Downing, the charming foreign GM of the place.

The Siam has taken eco-friendly measures, providing refillable water stations throughout the hotel to reduce plastic bottle usage and ceramic bottled amenities in the bathroom.

The bathroom itself is described as stunning with a high ceiling, inviting one to spend the whole day soaking in the tub.

The Siam offers numerous activities, from spa treatments, fitness, Muay Thai boxing, tattooing, movie watching, and cooking, to shopping with a free boat service. The author enjoyed a mix of relaxation and work, embodying the “Work from Anywhere” concept.

Dining options include the Thai house named “Chon” restaurant, a chill bar by the Chao Phraya River, and another restaurant called “The Story House” with a design that reflects Bill Bensley’s style. I expressed a desire to stay at Bill’s resort in Cambodia soon.

There’s an upcoming event where a chef from Shinta Mani Angkor will be preparing Cambodian fusion cuisine. I will to provide more details in the comments.

More details : https://www.thesiamhotel.com/

The Siam เป็นสถานที่พักผ่อนสุดหรูส่วนตัวขนาด 38 ห้องรวมวิลล่า ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ในเขตดุสิต ใกล้สะพานซังฮี้

.

โรงแรมออกแบบโดยสถาปนิกชื่อดังระดับโลก Bill Bensley โดยได้รับแรงบันดาลใจจากอาร์ตเดโค ที่สื่อสารเรื่องราวความรุ่งเรืองของเมืองสยาม ผสมผสานข้าวของโบราณของไทยและที่สะสมมาจากทั่วโลก โดยคุณน้อย กฤษฎา สุโกศล แคลปป์

เจ้าของ The Siam คือคุณน้อย ศิลปินวงพรู เมื่อได้รับมรดกที่ดินริมแม่น้ำผืนหนึ่ง เขาจึงอยากจะสร้างโรงแรมที่นั่นเพื่อเก็บสะสมโบราณวัตถุของเขา เมื่อรู้ว่าทรัพย์สินต้องโดดเด่น เขาจึงเชิญ Bill Bensley สถาปนิกชื่อดังระดับโลก มาออกแบบเพื่อร่วมกันสะท้อนให้เห็นถึงช่วงเวลาแห่งความยิ่งใหญ่ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของกรุงเทพฯ ในสมัยรัชกาลที่ 5 (ประมาณ พ.ศ. 2396-2453)

Bill ได้นำเอาแรงบันดาลใจจาก พิพิธภัณฑ์ออร์แซ (Paris’ Musée d’Orsay) พิพิธภัณฑ์ศิลปะในกรุงปารีส ของฝรั่งเศส แต่ทุกกระเบียดนิ้วในโรงแรมกลับมีกลิ่นอายของความเป็นไทยแฝงอยู่ ที่สื่อสารถึงโลกแห่งความเขียวชอุ่ม เรียบง่าย ทว่า งดงามตามธรรมชาติ

ดังนั้น การออกแบบโรงแรมเดอะสยามจึงนำสีดำ ขาว เทา มาเป็นสีหลัก คู่ไปกับสีเขียวของต้นไม้ และสัมผัสของธรรมชาติอย่าง หิน ไม้และหนัง สื่อสารออกมาผ่านสัญญะแห่งความเป็นไทยประยุกต์ที่ไม่ได้เน้นแต่เพียงลวดลายกนกวิจิตรแต่เพียงอย่างเดียว แต่ผสานความร่วมสมัยไว้อย่างลงตัว เพื่อรองรับผู้เข้าพักหลักซึ่งเป็นชาวต่างชาติ มารังสรรค์ให้เข้ากับของสะสมโบราณที่หาชมได้ยาก

ด้านในเป็นโถงต้อนรับที่ตกแต่งแบบสี่เหลี่ยมจตุรัส พื้นปูด้วยหินอ่อนลายตารางหมากรุกสีดำและสีขาวตามสไตล์อาร์ตเดโค รวมถึงนำเสนอคอลเลกชันโบราณวัตถุอันวิจิตรงดงาม ตรงกลางเป็นน้ำพุ รอบๆ จะเป็นที่ตั้งของแผนกต้อนรับ ร้านขายของโบราณ อีกด้านเป็นร้านอาหาร บาร์และร้านกาแฟ เชื่อมต่อด้วยระเบียงกลางแจ้ง ประดับด้วยข้าวของโบราณ

โถงด้านในจะเป็นส่วนต้อนรับสำหรับแขกที่เข้ามาพักและรับประทานอาหาร จะมีการแยกโซนอีกชั้นสำหรับแขกที่พักอาศัย

มุมนี้ต้องแต่งเอาฤกษ์เอาชัยด้วยพระพุทธรูปโบราณ ที่ขุดพบได้ในหลายพื้นที่ และมีทั้งไม้ หินแกะ และรูปภาพพระเก่าแก่มากมาย

ส่วนตัวผมชอบมุมนี้ ดูมีความจำลองของอุโมงค์ที่จะนำเราย้อนกลับเข้าสู่โลกยุคโบราณที่ออกแบบมาอย่างร่วมสมัย

ส่วนมุมนี้จะต้องเดินข้ามสะพานเชื่อมมาเพื่อเข้าสู่โซนที่พักอาศัย สงวนไว้สำหรับแขกของโรงแรมเท่านั้น ตรงกลางออกแบบเป็นสวนกลางแจ้งที่มีน้ำตกไหล ใจกลางเป็นต้นกล้วยและพันธุ์ไม้สีเขียวมากมาย ให้ความร่มรื่น

เมื่อเดินเข้ามาด้านใน ทั้ง 2 ฝั่งจะประดับตกแต่งด้วยตู้เก็บคอลเลคชั่นโบราณแยกหมวดหมู่กันชัดเจน ตามรูปแบบและยุคสมัย

เราจะเดินผ่านโซนนี้เพื่อลงไปสู่วิลล่าริมแม่น้ำด้านล่าง

หนึ่งไฮไลท์ที่น่าสนใจคือ รถเทียมม้าจากสมัยราชวงศ์ฮั่น อายุหลายร้อยปี

มาถึงที่วิลล่า กระเป๋าสัมภาระมารอก่อนแล้วครับ บนโต๊ะมีผลไม้ต้อนรับพร้อมกับการ์ดเขียนต้อนรับอีกครั้งจากคุณนิค ลายมือสวยมาก

บนโต๊ะยังมีของที่ระลึกเป็นขวดน้ำรียูส สำหรับเติมน้ำตามจุดต่างๆ ทั่วโรงแรม ลดการใช้พลาสติกหรือขยะประเภทใช้ครั้งเดียวทิ้ง และยังสามารถนำกลับไปเป็นที่ระลึกได้อีกด้วย

ภายในวิลล่ากว้างขวางมาก ห้องพักจัดวางเตียงนอนขนาดใหญ่ไว้ตรงกลางบนพื้นที่ยกระดับขึ้นไป ประดับด้วยงานศิลปะสไตล์จีนโบราณให้มีความรู้สึกย้อนอดีตไปในสมัยที่ไทยเราทำการค้ากับจีน หัวเตียงจัดวางโต๊ะข้างเตียงก็มีพื้นที่เพียงพอสำหรับวางขวดน้ำ ชาร์จโทรศัพท์ และหนังสืออ่านเล่นก่อนนอน พร้อมนาฬิกาปลุกที่เป็นลำโพงไปในตัว

ปลายเตียงเป็นส่วนพักผ่อนสำหรับนั่งหรือนอนดูทีวีได้ เบาะเป็นสีน้ำเงินเข้มดูเข้ากันดีกับบรรยากาศภายในห้อง ตัดด้วยหมอนอิงสีแดง เป็นงานถนัดในสไตล์ของบิลล์ที่เราเคยพบเห็นมาแล้ว

ส่วนมินิบาร์ ชา กาแฟ จัดวางไว้ในตู้ปลายเตียงเช่นกัน

ด้านในเป็นส่วนของห้องแต่งตัวแบบ Walk-in Closet และอีกด้านเป็นโต๊ะเครื่องแป้งโบราณ ซึ่งเป็นของเก่าจริง ดูคลาสสิคมาก

ห้องน้ำสวยและกว้างมาก งานสไตล์ขาวดำ ทำให้ดูคลาสสิคมากยิ่งขึ้น จัดแบ่งพื้นที่ออกเป็น 3 ส่วนคือมุมซ้ายเป็นเคาน์เตอร์อ่างล้างหน้าแบบ His & Her ตรงกลางเป็นอ่างอาบน้ำขนาดใหญ่ ด้านขวาเป็นห้องสุขาและห้องอาบน้ำแบบชาวเวอร์

อีกจุดที่ชอบคือ ห้องน้ำเพดานสูงแบบ Double Volume ออกแบบให้มีสกายไลท์ไว้ ช่วยให้ได้ช่องแสงธรรมชาติส่องเข้ามาได้เพียงพอในระหว่างวัน

ด้านนอกเป็นที่นั่งพักผ่อนในบรรยากาศสบายๆ ตอนเช้าๆ แดดอ่อนๆ ดีมาก มีบันไดวนให้ขึ้นไปชั้นบนดาดฟ้าซึ่งออกแบบให้เป็นเก้าอี้นอนอาบแดด แต่เราไม่ได้ขึ้นไปใช้ เพราะรู้สึกว่านั่งด้านล่างเย็นสบายกว่า

ด้านในสุดมีเบาะที่นั่งขนาดใหญ่ ไม่แน่ใจเรียกว่า เก๋งจีน ได้ไหมนะ ตกแต่งด้วยหมอนอิงลวดลายไชนีสโมเดิร์นและมีป้ายอักษรจีนติดไว้อยู่ ไม่รู้ว่าอ่านมีความหมายว่าอย่างไร

ติดกันเป็น Pool Villa เหมาะสำหรับแช่ตัวเย็นสบาย แต่ว่ายอาจจะลำบากนิดนึง แนะนำให้ไปใช้สระใหญ่ริมแม่น้ำดีกว่า แต่ว่าสระส่วนตัวก็ทำให้ได้ฟีลของการพักผ่อน

แช่น้ำให้สบายตัว เดี๋ยวจะได้ไปเดินสำรวจโลกโบราณกันตามจุดต่างๆ ของโรงแรม

อ่างอาบน้ำใหญ่เว่อร์มาก สามารถแช่พร้อมกัน 2 คนได้เลยครับ อีกจุดที่ชอบคือชุดคลุมอาบน้ำ สั่งทำจากแบรนด์ Frette จากอิตาลี แบรนด์เครื่องนอนที่ดีที่สุดในโลก

เปลี่ยนเสื้อผ้า สวมรองเท้า เราจะออกไปเดินเล่นรอบโรงแรมกัน

ตอนที่มาครั้งก่อน มุมนี้ต้นไม้ยังไม่โตขนาดนี้ พอมาครั้งนี้ ทางเดินเลยดูร่มรื่น ชอบการปล่อยเลื้อยอิสระของต้นตีนตุ๊กแก คิดว่านานไปคงสวยแบบมีสีเขียวคลุมไปเลย

มาดูทางเดินระหว่างห้องพักบนอาคารกันนะครับ ชั้น 2 จัดแสดงเป็นคอลเลคชั่นเกี่ยวกับพุทธศิลป์ มีทั้งภาพพระเกจิ พระพุทธรูป จีวรสำหรับให้พระสวมถ่ายรูปติดบัตรก็มี

ตรงกลางจัดทำเป็นที่นั่ง พร้อมทั้งแท่น ตั่ง บุษบก รูปปั้น สามารถมานั่งเล่นบริเวณนี้ได้

อีกฝั่งเต็มไปด้วยพระพุทธรูปองค์เล็ก องค์ใหญ่ ประดิษฐานไว้ทั่ว ตื่นตาตื่นใจมากๆ ครับ

จากนั้น เราเดินมาถึงที่บริเวณด้านหน้าอีกครั้ง เพื่อจะมาจิบชายามบ่าย ในบรรยากาศสบายๆ ทั้งแบบเปิดโล่งและในห้องปรับอากาศ

พื้นที่ภายในห้องอาหาร The Story House สมชื่อเลยครับ เต็มไปด้วยเรื่องราวที่น่าสนใจจัดวางไว้ทั่วบริเวณ สลับของตกแต่งที่หาชมได้ยาก

มีห้องส่วนตัวให้นั่งด้วยครับ สำหรับใครที่มาเป็นกลุ่มหรือครอบครัว ห้องนี้บรรยากาศอบอุ่นดี เหมือนนั่งกินข้าวอยู่บ้านร่วมกัน

เราเลือกนั่งอีกห้องที่อยู่ติดกันเป็นห้องโต๊ะกลม บรรยากาศเหมือนนั่งอยู่ในเรือนไทยที่เต็มไปด้วยตำราอาหาร บ้านท่านผู้หญิงเลอศรี

สั่ง Afternoon Tea มาทานเซ็ตใหญ่เหมือนกัน จริงๆ ถ้าไม่ได้มาพักก็สามารถมานั่งทานขนม อาหารได้นะครับ แค่ถ่ายรูปเช็คอิน ฟินกับเรื่องราวของเก่าแก่ ก็คุ้มค่าละครับ

ด้านในสุดเป็นบาร์เครื่องดื่ม ตกแต่งสวยมาก คุณน้อย เองเคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่า

“การสร้างโรงแรมไม่ต่างอะไรกับการเป็นศิลปิน ทำอัลบั้มเพลง หรือทำหนัง เพราะเป็นการเล่าเรื่อง มีสตอรี่ โรงแรมก็ต้องมีสตอรี่ มีการเล่าเรื่อง เพื่อทำให้โรงแรมมีความโดดเด่นและไม่เหมือนโรงแรมแห่งอื่น ต้องทำอะไรที่ลึกซึ้งกว่า มีวิญญาณมีความหมายมากกว่าคู่แข่งในตลาด”

อีกมุมสำหรับสั่งเครื่องดื่มนั่งเล่นพักผ่อนในบรรยากาศสบายๆ มีความวินเทจนิดๆ แขกนอกก็สามารถมาใช้บริการได้ครับ

ผมว่า โรงแรม THE SIAM ทำให้การพักผ่อนของเราเปลี่ยนไปจากชีวิตประจำวันที่วุ่นวายของกรุงเทพมหานคร ทำให้เราได้ย้อนเวลากลับไปหาอดีตเมื่อร้อยกว่าปีที่ผ่านมา ในยุคที่น้ำท่าอุดมสมบูรณ์ ชาวสยามเราอยู่กันอย่างเรียบง่าย ทว่างดงาม มีความปราณีตในการดำเนินชีวิต ซึ่งกลายเป็นอดีตที่พบเพื่อเพียงผ่านไป ได้เบิกบานในใจอีกครั้ง

ตอนเย็นช่วง Sunset เราไปนั่งที่ BATHERS BAR ริมแม่น้ำเจ้าพระยา สามารถที่จะว่ายน้ำไปดูพระอาทิตย์ตกไป จิบเครื่องดื่มเบาๆ

เราสั่งเครื่องดื่มที่เป็นไฮไลท์ของที่นี่คือ Siam Sling สีสวยสดใสไม่แพ้สีของท้องฟ้าในช่วงเย็นนี้

โรงแรมมีบริการเรือรับส่งไปยังท่าต่างๆ ทำให้สะดวกมากหากเราจะไปเดินเล่นที่ไอคอนสยาม หรือถ่ายรูปที่วัดอรุณ โดยไม่ต้องกังวลปัญหารถติด

บรรยากาศช่วงค่ำยังมีแขกของโรงแรมจองเรือเพื่อไปส่งตามท่าต่างๆ อยู่เลยครับ ซึ่งเป็นจังหวะที่ท้องฟ้าสีสวยมาก

ส่วนเราขออนุญาตไม่ออกไปไหน เตรียมไปดินเนอร์ที่ห้องอาหาร The Story House ดีกว่า เพราะว่าครั้งก่อนเราเคยทานที่ห้องอาหารช้อนแล้ว

บรรยากาศช่วงหัวค่ำ ยามเปิดไฟ เป็นอะไรที่สวยงามคลาสสิคมาก

กลับมาที่ The Story House ห้องเดิม เพิ่มเติมคือบรรยากาศของห้องอาหารยามต้องแสงไฟ เสียงเทียน ดูสวยงามคลาสสิคมาก

The Story House เป็นห้องอาหารที่ให้บริการอาหารตะวันตกร่วมสมัย การตกแต่งคือบ่งบอกสไตล์ความเป็น Bill Bensley คล้ายกับที่เราเคยพบเห็นในหลายๆ โรงแรม เพียงแต่ที่นี่จะมีรายละเอียดของความวินเทจเข้ามาเพิ่มเติม

บริการวางขนมปังพร้อมเนยสาหร่ายและมูสดิปเอาไว้ ขนมปังบางกรอบ ผมชอบมาก ส่วนอาหารเราสั่งมาเป็นแบบแชร์เนื่องจากเกรงว่าจะทานไม่หมด

เราเริ่มจากอาหารเรียกน้ำย่อย เป็น Limited Edition เฉพาะช่วงนี้คือเมนู Fig & Goats Curd Tart รสชาตหวานๆ ของลูกฟิกซ์เข้ากันดีกับครีมและทาร์ตกรอบๆ

จานหลักเป็นกุ้งลายเสือย่างซอสบาร์บีคิว ออกแนวฉ่ำเนยเล็กน้อย

บริกรแนะนำอีกจานเป็นเนื้อเทนเดอร์ลอยด์ ซอสพริกไทยซึ่งไฮไลท์คือการใส่พริกไทยชมพูเข้ามารสชาติเผ็ดร้อนด้านใน

ของหวานเราสั่งเครมบูเล่ขิงผสมตะไคร้ หวานและหอมสมุนไพรจนต้องสั่งกาแฟดำมาทานควบคู่กันไป

เสร็จจากมื้ออาหารก็มาตีฟองแช่น้ำอุ่นให้สบายใจ คืนนี้จะได้เบาสบาย นอนหลับฝันดี

ชอบรูปนี้ จริงๆ ว่าจะไม่เอามาลง จะเก็บไว้ดู แต่รู้สึกฟีลของรูปมันดูสบายๆ แถมชุดคลุมก็เนื้อผ้านุ่มมากกกกก

ตื่นเช้าๆ พร้อมกับกาแฟหนึ่งแก้ว กดจากเครื่องชงกาแฟแคปซูลภายในห้องได้เลยครับ

ตอนเช้าๆ ออกกำลังกายในวิลล่าเบาๆ พอให้มีเหงื่อ ก่อนแช่น้ำในเย็นใจ จากนั้นจะไปทานอาหารเช้ากัน

เปิดประตูวิลล่ามาจะพบกับเรือนไทยสมัยอยุธยา ซึ่งตอนนี้ปรับมาเป็นร้านค้าของจิมป์ ทอมสัน ส่วนชั้นบนเป็นพื้นที่จัดแสดงงานอาร์ตของ Bill Bensley ดีไซเนอร์

ส่วนตัวชอบมุมนี้เป็นพิเศษครับ เพราะว่ากำแพงต้นไม้สูงใหญ่ จัดที่นั่งไว้สำหรับอ่านหนังสือหรือพักผ่อน บรรยากาศเหมือนได้ออกไปต่างจังหวัด

ห้องอาหารเช้าจะอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา เชื่อมต่อกับห้องอาหารช้อน มีที่นั่งจัดไว้ทั้งลานสนามหญ้า ใต้ถุนบ้าน ซึ่งจะมองเห็นวิวแม่น้ำ

ส่วนเราเลือกนั่งด้านในห้องปรับอากาศ ปล่อยให้แขกต่างชาตินั่งชมวิวด้านนอกกันไป ผมชอบไอเดียการออกแบบนี้มาก เป็นการใช้เงาสะท้อนของกระจกมาทำให้เหมือนมีเรือนไทยซ้อนมาอีก 2 หลัง ยอมใจคนคิดเลยครับ

จริงๆ แล้วด้านในเป็นพื้นที่ของบาร์ซึ่งเปิดเป็นร้านอาหาร ค่อนข้างกว้าง ใครอยากจัดงานแต่งงานก็สามารถใช้เป็นห้องจัดเลี้ยงได้เลยครับ

ภายในตกแต่งอย่างสวยงาม ซึ่งที่นี่จะเป็น All Day Dining สามารถเข้ามาใช้บริการได้ทั้งวัน ไม่เพียงแต่แขกของโรงแรมเท่านั้น แต่ลูกค้าทั่วไปที่อยากจะมารับประทานอาหารหรือจัดเลี้ยงในโอกาสพิเศษก็สามารถมาใช้บริการได้ครับ

มีเคาน์เตอร์บาร์บนชั้น 2 ที่ตกแต่งอย่างสร้างสรรค์ ให้ความรู้สึกถึงความเป็นมิวสิคบาร์ได้ดี

มองจากชั้นบนออกไปผ่านกระจกใสสีดำ ทำให้เห็นบรรยากาศของด้านนอกด้วยครับ

อาหารเช้าของที่นี่เป็นแบบ A-la-carte สามารถสั่งได้ไม่อั้น แต่มีอยู่ 2-3 จานที่เราติดใจมาจากการเข้าพักครั้งก่อน และเป็นเมนูที่ยังมีเสิร์ฟอยู่

แนะนำเลยคือข้าวเหนียวหมูปิ้ง นุ่มหอมมันมาก ส่วนก๋วยเตี๋ยวผัดทะเลก็อร่อยครับ หอมกลิ่นกะทะไหม้นิดๆ แคลอรี่เยอะหน่อย แต่ยอมใจในความอร่อยครับ

ทานอาหารเช้าเสร็จแล้ว แวะมานั่งเล่นที่สระว่ายน้ำ Infinity Pool

บรรยากาศยามสายกำลังดีนะครับ แดดไม่ร้อน นอนๆ นั่งๆ อ่านหนังสือและสั่งเครื่องดื่มมาจิบได้ เดี๋ยวว่าจะกลับไปเอาโน๊ตบุ้คที่วิลล่าแล้วมานั่งทำงานที่นี่

ดีที่เค้ายังไม่กางร่ม มองเห็นวิวแม่น้ำเจ้าพระยากว้างๆ สบายตาดีครับ

ถ้าไม่บอกก็คงไม่รู้และไม่เชื่อว่า ที่นี่คือ “โรงแรม” แต่ดูราวกับเป็นพิพิธภัณฑ์แห่งสยามขนาดย่อม

คุณน้อย เคยบอกเล่าหัวใจของโรงแรมนี้ไว้ว่า เขาใช้หลักการออกแบบเช่นเดียวการสร้างภาพยนตร์สักเรื่อง ซึ่งเริ่มจากความคิดว่า อยากให้คนที่เขามาเยี่ยมเยือนโรงแรมแห่งนี้ได้มาสัมผัสกับอะไร

นั่นคือ วัฒนธรรม เรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นเมื่อ 200 ปีที่แล้วในไทยนำเสนอไว้ในโรงแรม

“นอกจากแขกจะพอใจในบริการอันยอดเยี่ยมแล้ว แขกควรจะได้รับความพึงใจจากการนอนพักในห้องพักที่บอกเล่าเรื่องเก่า และเดินดูเรื่องราวเก่าๆของประเทศไทยจากมุมต่างๆของโรงแรม”

ดังนั้น หลายมุมภายในโรงแรมจึงถูกแบ่งสันปันส่วนให้กลายเป็นพื้นที่สำหรับแสดงผลงานสะสมของโบราณชิ้นหายากของคุณน้อยนับหมื่นชิ้น ซึ่งไม่อาจประเมินราคารวมกันได้ มาตกแต่งไว้ในโรงแรมอย่างลงตัว

ชิ้นที่ผมชอบคือเข็มขัดแชมป์มวยไทยลุมพินี รุ่นจูเนียร์เฟเธอร์เวท ไม่รู้ไปหามาจากไหน

โซนนี้นอกจากจะมีเวทีมวยพร้อมอุปกรณ์การชกให้ยืมแล้ว ยังตกแต่งด้วยข้าวของที่มีเรื่องราวของวงการกีฬาที่หาชมได้ยาก

ส่วนอีกห้องที่ชอบมากคือห้องสมุดครับ มีหนังสือให้อ่านเยอะมาก ส่วนด้านในสุดเป็นห้องดูหนัง

เราใช้เวลาอยู่ในนี้ค่อนข้างนาน เพราะมีหนังสือให้อ่านหลากหลายทั้งไทยและฝรั่ง ชอบมานั่งเพราะค่อนข้างเงียบสงบดีครับ

ภายในแบ่งตู้ออกเป็นหลายๆ จุด มีเรื่องราวแตกต่างกันออกไป ทั้งหนังสือเก่า จดหมาย ลายพระหัตน์

เรื่องราวของแฝดสยามอิน-จัน

ของสะสมโบราณเหล่านี้ล้วนมีประวัติและมีคุณค่าที่น่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็นภาพเขียน ภาพวาดโบราณ ลายพระหัตถ์ รถเทียมม้าจากสมัยราชวงศ์ฮั่น ป้ายโบราณ เก้าอี้จากขบวนรถไฟเก่า โต๊ะพูล โปสเตอร์และตั๋วชมภาพยนตร์ เครื่องพิมพ์ดีดเก่า จดหมายโบราณ จานชามช้อนส้อม ชุดเครื่องแบบโบราณ เหล่านี้กลายเป็นกุญแจสำคัญที่จะไขประตูแห่งอดีตให้คนในยุคปัจจุบันได้เห็น ซึ่งก็จะเป็นแขกผู้เข้าพักจากทั่วโลกนั่นเอง

The Siam เรียกได้ว่าเป็นโรงแรมริมแม่น้ำที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวอย่างแท้จริง ให้ความรู้สึกถึงโลกเก่า การตกแต่งและบรรยากาศโดยรวมให้ความรู้สึกเหมือนได้เดินทางย้อนกลับไปในอดีต ที่รอให้เรามาสัมผัสเรื่องราวนี้อีกครั้ง

ดูรายละเอียดเพิ่มเติมและจองห้องพักได้ที่ https://www.thesiamhotel.com/

KΔNT
KΔNT

อดีตผู้ประกาศข่าวสายเศรษฐกิจ เจ้าของเพจ KANT.CO.TH ชื่นชอบในไลฟ์สไตล์ การท่องเที่ยวพักผ่อน ในโรงแรมหรู สนใจเรื่องราวงานดีไซน์ อสังหา การตลาด การลงทุน