TAIPEI , TAIWAN

ไทเป 101 ในทริปนี้ ไม่ได้หมายถึงชื่อตึก

แต่จะเป็นจุดเริ่มต้นสำหรับคนจะไปเที่ยวไต้หวัน

กานต์ไฮไลท์สถานที่น่าสนใจ เช็คอินสปอต มุมถ่ายรูป

ศิลปะ วัฒนธรรม อาร์ตสเปซ ดีไซน์คาเฟ่ ที่น่าสนใจ

ที่กานต์ไปมาแล้วชอบ นำมามัดรวมมาไว้ในรีวิวเดียว

เที่ยวไทเป ไต้หวัน กันแบบจุกๆ ไปเลยครับ

.

ไต้หวันให้ความสำคัญกับเรื่องครีเอทีฟมากครับ

ทั้งในแง่ของการอนุรักษ์และสร้างสรรค์งานศิลปะ

ทั้งยังเป็นเมืองที่มีพิพิธภัณฑ์และอาร์ต แกเลอรี่เยอะมาก

.

ใจจริงแล้ว อยากแนะนำแกมชักชวน

ให้เสียสละซักหนึ่งวันในการเดินเล่นเที่ยวทั่วไทเปครับ

จะใช้วิธีการนั่งรถไฟหรือรถเมล์สลับกันไปบ้างก็ได้

เพื่อที่จะไปถ่ายรูปสตรีทอาร์ตสวยๆ

.

เอาจริง ไต้หวันดูเหมือนเป็นประเทศลูกครึ่งทางความรู้สึก

แม้จะมีความเป็น “จีน”

แต่ก็มีวัฒนธรรม วิถีชีวิตบางอย่างที่ออกไปทาง “ญี่ปุ่น”

หลายคนที่ไปไต้หวันกลับมาจึงบอกว่าประทับใจ

ไปแล้วก็อยากไปซ้ำ กานต์ก็ไปไม่ต่ำกว่า 5 ครั้ง

อากาศก็ดี อาหารอร่อย ธรรมชาติสวยงาม

.

ตามรอยไทเป ไต้หวัน กับกานต์ในทริปนี้ได้เลยครับ

__________________________________

📸✨ติดตาม KΔNT ผ่านภาพถ่ายได้ที่

https://www.instagram.com/kant.co.th

Taipei 101 / World Trade Center จุดชมวิวสุดฮอตบนตึกสูง เป็นแลนด์มาร์กที่หลายคนต้องมา

และเป็นชื่อทริปของเราในครั้งนี้ด้วยครับ

เริ่มต้นการเดินทางไต้หวัน 101 กัน

ทริปนี้กานต์ไปไต้หวันมา 14 วันเต็มวีซ่าครับ เที่ยวพักผ่อนยัง 3 เมืองหลักคือ ไทเป เกาสง ไทจง เป็นการเที่ยวไต้หวันสไตล์ KΔNT มีความไปเรื่อยๆ ไม่รวบรัด ไม่รีบเร่ง ไม่รุกเร้า เข้ากับคอนเซปต์ LEISURE TRAVEL ของเราดี

เราตั้งหลักที่เมืองเป่ยโถว เมืองน้ำพุร้อน เพราะอยากจะไปนอนแช่ออนเซ็นที่นั่น จากนั้น ถ้าอยากจะออกไปเที่ยวที่ไหน เที่ยวในเมืองไทเปก็นั่งรถไฟฟ้า หรือถ้านอกเมืองหรือไปไกลๆ ก็จ้างคนขับรถให้ขับพาไป

ไลฟ์สไตล์ ผู้คน ธรรมชาติ อากาศ อาหาร และงานศิลปะ ผมว่าคือเสน่ห์ของไต้หวันที่ทำให้คนอยากไป และคนที่ไปก็อยากไปซ้ำอีก

ผมชอบไปดูงานศิลป์ตาม Art Space ต่างๆ รู้เลยว่า “วงการศิลปะในไต้หวันไปไกลมาก” ทุกภาคส่วนต่างช่วยกันสนับสนุน มีการเปิดพื้นที่สาธารณะให้กับนักศึกษาได้มาแสดงผลงานดีๆ

มาดูวิวจากชั้น 89 ตึก Taipei 101 กันดีกว่าครับ เป็นตึกใหญ่ตั้งสูงตระหง่านใจกลางเมืองไทเป ด้วยดีไซน์อันเป็นเอกลักษณ์คล้ายปล้องไม้ไผ่ที่มีทั้งหมด 8 ปล้อง ที่ว่ากันว่าใครมาเที่ยวไต้หวันแล้วไม่ได้มาถ่ายรูปกับตึกแห่งนี้ หรือขึ้นไปชั้นบนสุดของที่นี่ถือว่ายังมาไม่ถึงไต้หวัน ตึกไทเป 101 มีความสูงถึง 508 เมตร ติดอันดับ 1 ใน 10 ตึกที่สูงที่สุดในโลก

เริ่มต้นทริปกันที่เมืองเป่ยโถว (Beitou) เป็นเมืองเล็กๆ แต่ร่มรื่นมาก คราวก่อนที่มาไทเป กานต์แค่มา One Day Trip ที่นี่ ครั้งนี้เลยตั้งใจพักยาวเลยครับ

จากเป่ยโถว ไม่ไกลนักจะเป็นท่าเทียบเรือชาวประมงตั้นสุย (Tamsui Fisherman’s Wharf) มีลักษณะเป็นปากแม่น้ำตั้งอยู่ทางตอนเหนือของตำบลตั้นสุย (Tamsui District, New Taipei City) เป็นศูนย์กลางของการจัดส่งสินค้าและเขตการค้าสำคัญทางตอนเหนือของไต้หวัน ต่อมาได้มีการพัฒนาให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวและพักผ่อนหย่อนใจของคนท้องถิ่น และมีไฮไลท์คือการชมวิวพระอาทิตย์ตกที่ติดอันดับสวยที่สุดในไต้หวัน บนสะพานแห่งความรัก (Tamsui Lover’s Bridge, 情人橋)

สะพานแห่งความรัก (Tamsui Lover’s Bridge, 情人橋) มีลักษณะเป็นสะพานเดินเท้าทรงโค้งสีขาวและเสาสูงที่โยงสายเคเบิลคล้ายกับเรือใบที่กำลังกางใบ ทอดยาวไปเหนือน้ำทะเล ซึ่งจะมีการเปิดไฟในตอนกลางคืนเพื่อความสวยงามและเพิ่มบรรยากาศโรแมนติกมากยิ่งขึ้น

รูปนี้ที่เห็นลิบๆ เป็นโรงแรม Fullon Tamsui Fishermen’s Wharf ที่เคยถ่ายทำรายการมาสเตอร์เชฟไทยแลนด์ ซีซัน 3 พอจะจำได้ไหมครับ

ตั้นสุ่ย นอกจากมีทะเลแล้ว ยังมีวัดที่สวยที่สุด และเก่าแก่ที่สุดในภาคเหนือของไต้หวัน นั่นคือวัดกวนตู้(Guandu Temple, 關渡宮 ) ครับ เป็นวัดที่ตั้งอยู่บนเนินเขาใกล้กับรถไฟฟ้าใต้ดินสถานี Guandu ตั้งใจจะมาไหว้พระขอพรที่นี่ เพราะมีชื่อเสียงด้านการให้ร่ำรวยและโชคดีในด้านการค้าขาย

สถาปัตยกรรมและการออกแบบวัดกวนตู้ มีความโดดเด่นด้วยเอกลักษณ์เฉพาะตัว บริเวณทางเข้าวัดจะมีเสาที่สลักอย่างงดงาม ปราณีต เป็นลวดลายมังกร สิงโตหินโบราณ ว่ากันว่าหากได้หยอดเหรียญไปในเสานี้และขอพรจะนำมาซึ่งความร่ำรวย

ด้านในเจาะเป็นอุโมงค์ยาวกว่า 80 เมตร มีการแกะสลักเหล่าเทพเจ้าเรียงรายตามทางเดินโ ดยเชื่อว่าจะสามารถปัดเป่าความชั่วร้ายทั้งหมดได้ อุโมงค์นี้จะนำไปสู่การนำสักการะองค์พระโพธิสัตว์กวนอิมที่อยู่ภายใน จากนั้นหันหลังให้องค์พระจะเจอกับจุดชมวิวยอดนิยมที่สามารถชมพระอาทิตย์ขึ้น พระอาทิตย์ตก รวมทั้งทัศนียภาพอันงดงามของแม่น้ำตั้มสุ่ยได้

จากนั้น เรานั่งรถกันไปต่อที่ ผิงซี – สือเฟิ่น – จิ่วเฟิ่น

สามสถานที่ผมจัดแพ็กรวบเอาไว้ให้เที่ยวตามนี้ได้เลยครับ

เส้นทางรถไฟสายเก่าสายผิงซี (Pingxi Line, 平溪線) เส้นทางสายรถไฟสายสั้นๆ ที่มีความเก๋ด้วยอาคารสถานีเก่า มีบ้านเรือนร้านค้า อยู่ริมทางรถไฟ เปิดให้บริการตั้งแต่ยุคที่ประเทศญี่ปุ่นเข้ามาปกครองไต้หวันในช่วงปี 1921

เส้นทางรถไฟสายผิงซีดังมาจากที่มีหนังรักโรแมนติกของไต้หวันเรื่อง “You Are the Apple of My Eye”มาถ่ายทำที่นี่ คนจึงนิยมมาตามรอยและเขียนกระบอกไม้ไผ่ขอพรไว้เป็นจำนวนมาก

มาไต้หวันอย่าลืมชิมไอติมถั่วตัด มีขายแทบทุกที่

สถานีซือเฟิ่นเป็นสถานียอดฮิตของเหล่านักท่องเที่ยว คนเดินทางโดยรถไฟเยอะมากๆๆๆๆๆๆ ดูจากรูปเอาก็พอรู้ นี่ขนาดว่าเป็นวันธรรมดานะ ลักษณะเด่นของซือเฟิ่นคือมีเส้นทางรถไฟที่ตั้งคู่ขนานไปกับถนนโบราณซือเฟิ่น (Shifen Old Streets, 十分老街) เดินๆ กินๆ ทั้งวัน ทั้งยังมีความสำคัญทางด้านประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมในอดีตของไต้หวัน ปล.ไก่ยัดไส้ข้าวเหนียวข้างสถานีรถไฟอร่อยจริง 65 บาท

นักท่องเที่ยวมักนิยมนั่งรถไฟเพื่อชมความงามตามธรรมชาติของสองข้างทาง ระหว่างที่นั่งรถไฟเล่น แต่ถ้าขับรถมาก็จะเห็นวิวแบบนี้ที่เต็มตากว่า ระหว่างมาที่ซือเฟิ่น (Shifen) จอดรถไว้ฝั่งตรงข้ามแล้วเดินข้ามสะพานแขวนมา กลางสะพานแวะถ่ายรูปได้ครับ

จิ่วเฟิ่น เป็นการเดินทางมาที่นี่รอบที่ 4 แล้ว ครั้งหน้าว่าจะลองค้างที่นี่สักคืน แต่เสียดายโรงแรมดีๆ ไม่ค่อยมี

คนเยอะมากจริงๆ ต้องใช้คำว่าเบียด ภาพนี้ถ่ายตอนทริปก่อนโควิดนะครับ ตอนหลังโควิดอาจจะไม่ได้เยอะเท่านี้

ของกิน ของฝาก ขนมอร่อยๆ เพียบเลย อันนี้ผมชอบ

จิ่วเฟิ่นไลฟ์สไตล์ ที่นี่ก็มีอาหารสตรีทฟู้ดอร่อยๆ มากมาย ทั้งไอติมถั่ว บัวลอย และอื่นๆ อีกมากมาย

ที่นี่เป็นเมืองโบราณ ไฮไลท์คือโคมแดงท่ามกลางสีเขียวของธรรมชาติ หลายๆ คนคงรู้อยู่แล้วว่าที่นี่เป็นหมู่บ้านโคมแดง ในหนังแอนิเมชั่นเรื่อง Spirited Away ของสตูดิโอจิบลิ ที่คนสร้างได้รับแรงบันดาลใจมาจากที่นี่นั่นเอง ตอนที่ Chihiro ตัวเอกของเรื่องหลงเข้าไปในหมู่บ้านที่เต็มไปด้วยโคมแดง ก็คือจิ่วเฟิ่นนี่แหล่ะครับ จึงที่เป็นที่มาของฉากนั้น

หลังจากที่การ์ตูนเรื่องนี้ได้รับรางวัลออสการ์ในปี 2002 ย่านจิ่วเฟิ่นก็ดังเป็นพลุแตก โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวญี่ปุ่น ให้ความสนใจมาเยี่ยมชมความน่ารักของถนนเก่าสายนี้จึงเป็นที่มาว่าทำไมดังมาก นักท่องเที่ยวเยอะมาก

มองจากมุมสูงดูแปลกตาดี ผมว่าที่นี่เป็นเมืองท่องเที่ยวที่สวยงามมากจริงๆ

ยอมรับว่าเดินทางยากนิดนึง ครั้งแรกเลยที่มารู้สึกว่า ลำบากมาก ต้องต่อรถไฟหลายต่อ แถมขากลับต้องรอรถบัส ฝนก็ตก ยืนตากฝนวนไป ขนาดว่าช่วงแรกๆ ที่มาเที่ยวตอนนั้น คนยังไม่เยอะเท่านี้ ยังรอรถเมล์ 2 ชั่วโมงได้ แต่มาแล้วก็หายเหนื่อย ยอมใจในความสวยจริงๆ

ขับรถเลียบทะเลไปเรื่อยๆ ครับ บรรยากาศสองข้างทางสวยงาม สดชื่นดี

จุดชมวิวที่เห็นเป็นทะเลหยินหยาง (Yin-Yang Sea, 陰陽海) ซึ่งเกิดจากการรวมกันของน้ำทะเลและน้ำที่มาจากน้ำตกทองคำ ทำให้เกิดเป็นสีสันประหลาดตา สามารถใช้เป็นจุดที่แวะพักขาหลังจากนั่งรถมาได้สักพักครับ

อีกด้านเป็นภูเขามีน้ำตกทองคำ (Golden Waterfall, 黃金瀑布) คนไต้หวันเรียก “หวงจินพูปู้” เป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติยอดฮิตอีกแห่ง

น้ำตกตั้งอยู่เขตรุ่ยเฟิง (Ruifang District) ระหว่างภูเขาและชายฝั่งของเมืองนิวไทเป ดูเป็นน้ำตกที่มีขนาดไม่ใหญ่ แต่กลับมีความน่าสนใจทางด้านนิเวศวิทยาและประวัติศาสตร์เป็นอย่างมาก เพราะน้ำจะไหลลงจากภูเขาจี่หลง ผ่านเหมืองทองเก่า ตั้งแต่สมัยญี่ปุ่น แต่ว่าน้ำมีสีขุ่นๆ เหมือนสนิม เนื่องจากพัดพาเอาแร่ธาตุในพื้นดินที่มีการเจือปนของแร่โลหะลงมาด้วย มุมที่สวยคือตอนแดดส่องกระทบทำให้น้ำเป็นประกายระยิบระยับเป็นสีทองอร่าม จากนั้นน้ำก็จะไหลไปยังมหาสมุทรแปซิฟิกจากทางฝั่งทะเลหยินหยาง (Yin-Yang Sea, 陰陽海) เป็นจุดชมวิวที่สวยงามมากอีกแห่งครับ

ใกล้ค่ำแล้ว กำลังขับรถกลับโรงแรมที่พักกันที่เมืองเป่ยโถว เป็นเมืองน้ำพุร้อน อยู่ใกล้ไทเป

เป่ยโถว (Beitou) เป็นเมืองน้ำพุร้อน อยู่ทางตอนเหนือของไทเป จะเรียกว่าเป็นเมืองตากอากาศ เมืองสุขภาพก็ว่าได้ เพราะไฮไลท์คือน้ำแร่ธรรมชาติ และความเขียว ความสงบเงียบ คนไม่เยอะมาก อยู่ไม่ไกลจากไทเป สามารถพักไทเปแล้วมา One Day Trip ที่ Beitou ได้สบายๆ นั่งรถไฟมาจากไทเปได้เลย หรือใครต้องการมาพักผ่อนแบบกานต์ เลือกใช้วิธีเดียวกันก็ได้ คือพักโรงแรมที่ Beitou เป็นหลัก เราจะได้แช่น้ำร้อน นอนออนเซ็นกันทุกคืน เพราะส่วนใหญ่โรงแรมจะมีน้ำพุร้อนในตัว เพราะน้ำพุร้อนถือว่าเป็นจุดขายของ Beitou แต่จะเป็นห้องส่วนตัวหรือบ่อรวมก็แล้วแต่งบประมาณครับ

กานต์เลือกพักที่ 北投老爺酒店 Hotel Royal Beitou โรงแรมสวยดีมีความอาร์ตนิดๆ ที่นี่จะเป็นโรงแรมเน้นเรื่องการดูแลสุขภาพและพักผ่อนครับ ตกแต่งอย่างหรูหรา ดูรักษ์สุขภาพ แถมยังรักโลกด้วย เพราะในห้องจะมีต้นไม้เล็กๆ เรียกว่า “aromatic plants” เผื่อสร้างความผ่อนคลาย แถมมีบริการเครื่องดื่มเผื่อสุขภาพและผลไม้ให้ฟรีในห้อง มีชาสมุนไพรเพื่อสุขภาพที่ทำจากพืชที่ปลูกในเรือนกระจกของทางโรงแรมคอยให้บริการ มินิบาร์ทานได้ทุกอย่างไม่มีชาร์จเพิ่ม หรือจะขึ้นมาทานขนม จิบชา อ่านหนังสือบนคลับเล้าจน์ก็ได้ครับ อาหารเช้าก็เลิศมาก ยกนิ้วให้เลย

จริงๆ พักห้อง Deluxe ก็พอครับ เพราะห้องกว้างมากกกกก และมีอ่างแช่น้ำพุร้อนออนเซ็นส่วนตัวในห้องทุกห้อง แถมยังเข้าเล้าจน์ได้เหมือนกัน ยิ่งนอนหลายคืน งบก็ยิ่งบาน จะจ่ายแพงกว่าทำไม เก็บตังค์ไว้กินชาบูดีกว่า 555+

วิวจากห้องพักก็ประมาณนี้

พอเห็นบรรยากาศกลางคืนก็นึกไปถึง ย่านซีเหมิน แหล่งชอปปิ้งยอดฮิต แต่ก่อนจะเข้าไปละลายทรัพย์ ขอแวะอัพงานศิลปะกันสักหน่อยที่ The Red House (西門紅樓) อาคารเก่าฝีมือของสถาปนิกชาวญี่ปุ่นที่ออกแบบอาคารสไตล์ตะวันตก สร้างขึ้นมาเป็นร้อยปีแล้วตั้งแต่ค.ศ. 1908 และยังคงถูกอนุรักษ์เอาไว้เป็นอย่างดี ด้านในพัฒนาให้เป็นพื้นที่ทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของคนรุ่นใหม่ มีโซนแสดงนิทรรศการ มีโรงหนัง ห้องสำหรับจัดแสดงดนตรี โรงน้ำชา ส่วนด้านนอกมีลานจัดกิจกรรมกลางแจ้ง เต้นท์ขายของแฮนด์เมด งานคราฟท์ งานอาร์ตทั้งหลาย หาดูได้ที่นี่ครับ

ย่านซีเหมินติง (Ximending) แหล่งช้อปปิ้งชื่อดังของไทเป ตอนกลางคืนก็สวยไปอีกแบบ

มาไทเปต้องไม่พลาด “หมี่อาจง” ต่อแถว เข้าคิว ยืนกินกันหน้าร้านนี่แหละครับ

ไต้หวันผมว่าเป็นสวรรค์ของคนรักสตรีทฟู๊ดไม่แพ้กันเลยนะครับ หลายคนชอบเพราะอาหารอร่อย ราคาไม่แพงมากนี่แหละ

“ที่ไต้หวันชอบทาน Hot Pot กันเหรอ?” ผมถามเพื่อนชาวไต้หวันในคืนหนึ่งหลังมื้อค่ำ

“เหมือนเป็นอาหารประจำชาติเลยล่ะ” – เพื่อนตอบ

ว่าแล้วก็ชวนกันมาทานชาบูไต้หวัน มีเยอะมากครับ น้ำซุป คือหัวใจสำคัญของการทานชาบูครับ อาจจะมีความแตกต่างกันไปในแต่ละสูตรของแต่ละร้าน

หน้าตาชาบูไต้หวันดูเผินๆ อาจจะเหมือนสุกี้ชาบูธรรมดา อาจจะแปลกตรงที่ว่ามีวัตถุดิบบางอย่างที่คนไทยไม่ชินตา ลอยอยู่ในหม้อ สีสันอาจจะดูดุดันไปสักหน่อย แต่ที่ร้านนี้ก็มีเครื่องเครา วัตถุดิบให้เลือกสั่งได้เยอะแยะครับ นอกจากมีเครื่องทั้งเนื้อสัตว์ชนิดต่างๆ และเนื้อดีๆให้เลือกแบบเยอะมากๆ รวมถึงอาหารทะเลสดๆ

บรรยากาศในไทเป อารมณ์คล้ายกรุงเทพเหมือนกัน กลางคืนยังคงมีสีสันไม่ได้เงียบมาก

ตอนเช้าๆ หากจะให้เก๋ ต้องเดินไปขึ้นเขาช้าง (Xiangshan Elephant Moutain) เพื่อไปถ่ายรูปเมืองไทเปและตึกไทเป 101 แบบเต็มๆ เป็นจุดชมวิวที่สวยงามมากและเหนื่อยมากกกกกครับ

อนุสรณ์สถานเจียงไคเช็ก เป็นสถานที่รำลึกถึงสำหรับผู้นำ ผู้สร้างชาติ แถมเดินทางมาก็ง่าย สถานที่มีความยิ่งใหญ่ อลังการ สวยงามและเป็นระเบียบ

พิพิธภัณท์พระราชวังแห่งชาติกู้กง (National Palace Museum, 國立故宮博物院) เป็นอาคารขนาดใหญ่ที่มีรูปแบบทางสถาปัตยกรรมที่งดงามตามแบบพระราชวังจีนโบราณโดยมีผนังสีเหลืองและหลังคาเซรามิคสีเขียว

ที่สำคัญที่นี่มีการจัดแสดงสมบัติโบราณวัตถุและศิลปะต่างๆ จากทั่วโลก มากกว่า 700,000 ชิ้น ทำให้เป็นพิพิธภัณท์ที่มีการจัดแสดงโบราณวัตถุที่มากที่สุดในโลก และเป็นพิพิธภัฑณ์ที่ควรค่าแก่การเข้าชมติดอันดับต้นๆ ของโลก

เรากำลังจะไปย่านเมืองเก่าที่อนุรักษ์ใหม่ ใช้วิธีเดินบ้างครับ จะได้เห็นบรรยากาศสองข้างทางชัดๆ

ระบบคมนาคมถือว่าดี คุณภาพชีวิตของคนที่นี่จึงเน้นเดินและปั่นจักรยานมากกว่าขับรถยนต์

มาไทเป ทุกครั้ง ต้องแวะมาแถวนี้ Bopiliao Historical Block เป็นกลุ่มอาคารโบราณที่รีโนเวทใหม่ แต่รักษาไว้ซึ่งประวัติศาสตร์ของชุมชน มีงานศิลปะใหม่ๆ หมุนเวียนมาจัดแสดงตลอดเวลา

ยังมีศูนย์เรียนรู้วัฒนธรรมไทเป หรือ “Heritage Culture Education Center of Taipei” คอยจัดแสดงนิทรรศการความรู้และประวัติศาสตร์ วิถีชีวิตคนไต้หวันสมัยก่อน โดยเน้นเรื่องการค้าขาย มีพื้นที่สำหรับกิจกรรม เช่น การแสดงดนตรี มีร้านค้าขายของที่ระลึก บางวันก็เจอกองถ่ายหนังบ้างละครบ้างมาถ่ายทำกันที่นี่

ใกล้ๆ มีวัดน่าสนใจหลายแห่ง ที่คนนิยมไปกันก็คือวัดหลงซาน

จากนั้น เราจะนั่ง รถเมล์มาลงที่ป้าย Dihua Street เพื่อจะไป “วัดเสียไห่เฉิงหวง” ไทเป (Taipei Xia Hai City God Temple) ตั้งอยู่ใจกลางเมือง

วัดแห่งนี้มีเทพประดิษฐานอยู่ภายในมากมายหลายองค์ ทำให้มีคนไต้หวันหลากหลายกลุ่มมาขอพรกันที่นี่ ตั้งแต่วัยรุ่นมาขอพรเรื่องความรัก ไปจนถึงเหล่าภรรยาที่มาขอพรเทพให้มีชีวิตคู่ที่ราบรื่น

ความพีคมันอยู่ตรงนี้ครับ เท่าที่ได้คุยกับทางเจ้าที่วัดนั้นเล่าว่าเมื่อประมาณ 6 ปีที่แล้วมีนักท่องเที่ยวผู้หญิงชาวญี่ปุ่นคนหนึ่ง สามีนางเพิ่งเสียชีวิตไปได้ไม่กี่เดือน นางอยากจะมีสามีใหม่จึงได้เดินทางมาขอผัวที่วัดแห่งนี้ ปรากฏว่าทันทีที่กลับไปญี่ปุ่นนางได้สามีแล้วแต่งงานเลยครับ

นางได้ไปเล่าเรื่องนี้ออกอากาศทางทีวีที่ญี่ปุ่น ปรากฏว่า …. เรื่องนี้เป็นที่สนอกสนใจของสาว แก่ แม่หม้ายชาวญี่ปุ่น เกาหลี เป็นจำนวนมาก และพากันตามรอยสตรีนางนี้เพื่อที่จะได้มีผัวกับเค้าบ้างเลยเป็นที่มาของ “วัดขอผัว” อย่างที่เห็นนี้ครับ

เท่านี้ยังไม่พอ บางคนก็มาขอให้เทพท่านช่วย ให้สามารถกลับบ้านเร็วขึ้น เอาอกเอาใจคนเป็นเมียให้มากกว่านี้หน่อย ซึ่งคนที่มีสามีแล้ว นิยมบูชารองเท้านำโชคเป็นของที่ระลึกเพื่อให้ชีวิตคู่ราบรื่นด้วยครับ โดยเชื่อกันว่าเมื่อซื้อรองเท้าแล้ว ให้นำไปวนที่กระถางธูป 3 รอบจากนั้นให้เอากลับไปเก็บไว้ในตู้เสื้อผ้าห้องนอน หันหัวรองเท้าเข้าหาตู้จะทำให้สามีไม่หนีไปไหน!!

ของแบบนี้ก็แล้วแต่ความเชื่อความศรัทธานะครับ เราไม่ว่ากัน

ตอนเหนือของไทเปยังมีห้องสมุดที่สวย ร่มรื่น และใหญ่มาก คือ Taipei Public Library Beitou Branch สร้างจากไม้ซี่ที่ก่อกันเป็นอาคารขนาดใหญ่ รายล้อมด้วยต้นไม้สีเขียว มี 4 ชั้น คิดดูละกันต้นไม้สูงขนาดไหน ที่นี่เคยได้ชื่อว่าเป็นห้องสมุดติดอันดับโลกในเรื่องความการก่อสร้างสถาปัตยกรรมที่สวยงาม ว่างๆ ก็มานั่งอ่านหนังสือที่นี่ครับ

Huashan 1914 Creative Park (華山1914文創園區) สวนกลางเมืองชื่อดังที่นักท่องเที่ยวนิยมมาเก็บรูปกัน ถือเป็นพื้นที่สร้างสรรค์ในการให้อิสระแห่งความคิดของศิลปิน อดีตเคยเป็นที่ตั้งของโรงงานผลิตไวน์และยาสูบเก่าตั้งแต่ปี 1914 ก่อนจะมีปัญหาเรื่องการก่อมลพิษในกระบวนการผลิต จึงต้องย้ายฐานไปนอกเมืองแทน เหลือไว้แต่โครงสร้างอาคารเก่า ซึ่งอินดัสเทรียลของโรงงานก็มีความเก๋สไตล์ลอท์ฟ ผสมกับดีไซน์โมเดิร์นที่เสริมเข้ามา ก็ทำให้สถานที่แห่งนี้น่าสนใจมากยิ่งขึ้น จากนั้นจึงมีการพัฒนาให้เป็นพื้นที่สาธารณะที่มีฟังก์ชั่นของศิลปะกับธรรมชาติเข้าไว้ด้วยกัน เราจึงได้เห็นคนไต้หวันมาพักผ่อนหย่อนใจที่นี่กันเยอะมาก 

พื้นที่แห่งนี้ถูกพัฒนาขึ้นโดยรัฐบาลไต้หวัน ภายใต้นโยบายการสร้างให้ไทเปเป็นเมืองแห่งการออกแบบ จึงทำให้เกิดโมเดลคล้ายกันนี้ กระจายไปทั่วเมือง ได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งรัฐ เอกชน ศิลปินผู้สร้างและผู้ชมงานศิลปะ เป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่น่ามาเที่ยวเมื่อมาไทเปครับ

พื้นที่ Outdoor จะเป็นสนามหญ้า และลานโล่งสำหรับจัดกิจกรรมกลางแจ้ง เอาขั้นบันไดมาแปลงเป็นสแตนด์สำหรับนั่งดูการแสดงสดของศิลปิน

ฟินมากอ่ะ!!

“ซงซาน ครีเอทีฟ พาร์ค” (松山文創園區) เป็นพื้นที่สำหรับจัดแสดงงานศิลปะหรือนิทรรศการต่างๆ มีร้านที่ขายสินค้าไลฟ์สไตล์ดีไซน์เก๋จากศิลปิน มีพื้นที่ Workshop งาน DIY มีร้านกาแฟ บรรยากาศร่มรื่นดีครับ

ด้านในมีร้านค้าเก๋ๆ ขายของพวกแฮนเมด คราฟท์ๆ เต็มไปหมด

หมดเวลาไปเป็นวันกับการดูงานอาร์ต จิบกาแฟ ซื้อของจุ๊กจิ๊กสุดครีเอท วนอยู่แถวนี้ ชอบมากครับ

ผมว่าโชคดีที่ทางการไต้หวันให้การสนับสนุนเรื่องการสร้างสรรค์งานศิลปะ ผมจึงได้เห็น Creative Space, Art Space เยอะมากในไต้หวัน อย่างเช่นที่ Song Shan Cultural Park นี่ก็เหมือนกัน วันที่ไปมีการจัดแสดงงานศิลปะนิพนธ์ของนักศึกษาเยอะมาก

ภารกิจก่อนกลับคือการตามหา Hidden Place ในไต้หวัน

ด้านหน้าดูคล้ายว่าเป็นร้านตัดเสื้อผู้ชายสไตล์ผู้ดีอังกฤษ ตกแต่งร้านสไตล์เรียบหรู ดูไม่พูดเยอะ เจ็บคอ

เปิดประตูร้านเข้าไป ก็ให้ความรู้สึกคล้ายกับว่า จะมาตัดสูทครับ มีอุปกรณ์ตกแต่งครบครัน ดูเผินๆ เหมือนร้านตัดเสื้อผู้ชายธรรมดา จนกระทั่งมารู้ว่า … มีความลับซ่อนอยู่หลังประตูบานหนึ่ง

เฮ้ยยยย ลุ้นอ่ะ คล้ายกับหนังเรื่อง Kingsman

ประตูลับจะถูกซ่อนไว้ในห้องลองเสื้อ ซึ่งจะเปิดกันไปมาไม่ค่อยถูกหรอก มีหลายห้องเกิ้นนนน

แต่เมื่อเปิดถูกบาน มันจะนำไปสู่คาเฟ่!! เก๋มากกกกกกกก และสวยมากกกกกกกกกก เหมือนเป็นฐานปฏิบัติการลับด้านการขายชา กาแฟ และคุ๊กกี้ ที่ซ่อนตัวอยู่

อีกร้านที่ชอบคือ “Woosa” ขายแพนเค้กเป็นหลัก รีวิวบอกว่าอร่อยมาก คนรอคิวเต็มร้านเลย มาถึงร้าน 10 โมงครึ่ง ได้คิวที่ 2 ยืนชั่วโมงนึงจนร้านเปิดราวๆ 11 โมง

ลองสั่งเมนู Siganature มาชิม เป็นเลม่อนซูเฟล่ แพนเค้ก จับคู่กับกาแฟสูตรของทานร้าน

แพนเค้กนุ่มมมมมลื้มมมมมมม ไอศครีมโฮมเมดก็เจ้มจ้น จนอยากจะสั่งเบิ้ล แต่อิ่มมากกกกก

เป็นทริปไทเปตัวแตกจริงๆ

KΔNT
KΔNT

อดีตผู้ประกาศข่าวสายเศรษฐกิจ เจ้าของเพจ KANT.CO.TH ชื่นชอบในไลฟ์สไตล์ การท่องเที่ยวพักผ่อน ในโรงแรมหรู สนใจเรื่องราวงานดีไซน์ อสังหา การตลาด การลงทุน