RUSSIA : ST.PETERSBURG & MOSCOW

RUSSIA : ST.PETERSBURG & MOSCOW

SHALL WE GO?

/

ช่วงนี้ทุกสายตาจับจ้องไปที่รัสเซียเป็นพิเศษครับ

เพราะเป็นเจ้าภาพเตะฟุตบอลโลก 2018

โดยเฉพาะไทย แม้จะไม่ได้เข้ารอบแต่เราก็ใจจดใจจ่อ

รอว่าจะได้ดูถ่ายทอดสดหรือไม่

สุดท้ายก็ได้ดูกันเต็มตาเต็มอารมณ์

ช่วงก่อนฟุตบอลโลกจะเตะ ผมไปรัสเซียมาครับ

ไปเยือน 2 เมืองหลัก คือ เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก และมอสโก

บรรยากาศก่อนฟุตบอลจะฟาดแข้งก็พอคึกคัก

มีป้ายต้อนรับ มีจัดนิทรรศการบ้างประปราย

และเริ่มมีนักเตะมาปรับร่างกายก่อนลงแข่งขันจริงบ้าง

เอาจริง “รัสเซียเป็นประเทศเที่ยวได้ทันทีไม่ต้องมีวีซ่า” ครับ

เราสามารถซื้อตั๋วแล้วบินได้ทันทีเลยครับ

ถ้าบินตรงจะการบินไทยหรือแอโรฟอร์ท ก็เลือกเอา

รัสเซียเป็นประเทศที่เที่ยวง่าย มีความงดงาม ยิ่งใหญ่

ทั้งผู้คน และสถาปัตยกรรม ศิลปวัฒนธรรมที่โดดเด่น

ทำให้หลายคนที่เคยไปรัสเซียเกิดความประทับใจ

ผมก็ชอบนะ ไปได้เรื่อยๆ เที่ยวได้ไม่หมดสักที

ก็ประเทศนี้กว้างใหญ่มากกกก

(ทริปหน้าจะไปล่าแสงเหนือที่เมอร์มังก์)

ช่วงนี้รัสเซียอากาศเย็นสบายใกล้ซัมเมอร์

เป็นช่วงที่เค้าเรียกกันว่า“ไวท์ไนท์”

เป็นผลจากแสงของพระอาทิตย์เที่ยงคืน

แถมยังเป็นช่วงที่ดอกไม้บานสวยงามดี

เที่ยวได้เต็มที่เพราะพระอาทิตย์ขยันมาก

ตอกบัตรตั้งแต่ตีสี่ยันเที่ยงคืน

มาดูกันครับว่าบรรยากาศช่วงซัมเมอร์ของรัสเซีย

เน้นเจาะที่เซนต์ปีเตอร์สเบิร์กและมอสโก

จะโก้ เก๋ กู๊ด ขนาดไหน

พร้อมแล้วก็ … ไปเที่ยวรัสเซียด้วยกันครับ

Shall we Go!!

#RUSSIA#MOSCOW#STPETERSBURG#SAINTPETERSBURG

#KANTJOURNEY

#4WIFI#4GPOCKETWIFI

#GENTLEMEN#TRAVEL#HOTEL#LIFESTYLE

มอสโก เป็นชื่อเมืองหลวงของรัสเซีย
ตั้งอยู่บนเนินเขาโบโรวิตสกายา
มีการสร้างป้อมปราการเพื่อป้องกันการรุกรานจากต่างชาติ
ปัจจุบันแทบไม่มีเหลือแล้ว

ปลายเดือนพฤษภา ต้นเดือนมิถุนา เป็นช่วงเริ่มต้นฤดูร้อน
อากาศยังคงสบายๆ กลางวันอยู่ที่ประมาณ 20 องศา
และไล่ระดับความร้อนไปเรื่อยๆ จนถึงประมาณเดือนสิงหาคม
บางปีอาจจะสูงถึง 40 องศาเซลเซียส
ซึ่งกลางวันจะร้อนมากและกินเวลายาวนาน
ส่วนกลางคืนอาจจะเย็นสบาย ทำให้ช่วงนี้สามารถเที่ยวได้เยอะ
บางช่วงเป็นปรากฏการณ์พระอาทิตย์เที่ยงคืน
หรือพระอาทิตย์ตกไม่ลับขอบฟ้า
เพราะยังมีแสงของพระอาทิตย์เห็นเป็นสีทองอยู่ริมขอบฟ้า
สวยงามและเหมาะแก่การถ่ายรูปเป็นอย่างยิ่งครับ
อย่างช่วงที่ไปนี้ 4 ทุ่มเพิ่งจะเริ่มมืดเองครับ
ตี 4 กลับสว่างจ้า ทำเอาปรับตัวไม่ค่อยทันได้แต่เมาแดดกันไป

ในช่วงฤดูร้อนยังมีเกสรของต้นทอปป้าลอยมาตามลม
ไปที่ไหนก็เจอ ลอยมาเกาะผม เข้าปากบ้าง
มองดูคล้ายหิมะฤดูร้อน
แต่มองอีกทีก็เหมือนปุยฝ้ายที่ลอยไปมาตามอากาศมากกว่า

ความยิ่งใหญ่ของรัสเซียที่มีมาตั้งแต่สมัยโซเวียต
ถูกถ่ายทอดออกมาผ่านงานศิลปะ งานสถาปัตยกรรม
ความมีวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ ซึ่งไม่ได้ถูกทำลายลงไปด้วยนั้น
กลายเป็นแม่เหล็กชั้นดีที่ทำให้เราอยากมาเยือนดินแดนนี้
เพื่อมาดูความยิ่งใหญ่ที่กลายเป็นอดีต มาดูความรุ่งเรืองสมัยพระเจ้าซาร์
มาดูวิทยาการที่ก้าวหน้ามาจนถึงปัจจุบัน
และที่สำคัญ มาใช้เงิน เพราะค่าครองชีพที่นี่สูงมาก

ฤดูร้อนแบบนี้นักท่องเที่ยวทางฝั่งยุโรปจะชอบมาเที่ยวที่รัสเซียมากครับ
ทำให้อะไรๆ ก็ปรับราคาขึ้นไปตามระเบียบ

รัสเซีย ถูกขนานนามว่าเป็นประเทศที่ “ผู้หญิงสวยที่สุดในโลก” และ “เซนต์ ปีเตอร์สเบิร์ก” ก็งดงามดุจราชินีแห่งยุโรป

ดังนั้นอย่าได้แปลกใจถ้าคนที่นี่จะสวยหล่อ ตาโต คมเข้มเป็นพิเศษครับ

รัสเซียมีประชากรทั้งประเทศประมาณ 144 ล้านคน มีพื้นที่ประเทศ : 17,075 ตร.กม. ครอบคลุมทั้งทวีปยุโรปและเอเชีย ผู้คนกว่า 82% นับถือศาสนาคริสต์นิกายออร์โธดอกซ์

ถ้าเดินทางโดย Thai Airways การบินไทย
จะลงที่สนามบินโดโมเดโดโว (DME)
ลงเครื่องแล้วให้เผื่อเวลาที่ช่องตรวจคนเข้าเมืองไว้สักหน่อยนะครับเข้าห้องน้ำห้องท่าให้เรียบร้อย
เพราะว่าที่ต.ม.ของรัสเซียนั้นขึ้นชื่อจริงๆ ในเรื่องของความล่าช้า
อาจจะด้วยเพราะมีการตรวจตราอย่างละเอียดเข้มงวด
แม้ว่าจะไม่มีการขอดูเอกสารอะไรก็ตามนะครับ
แต่มีการเทียบพาสปอร์ตกับตัวจริงอย่างละเอียด เอียงแล้วเอียงอีก
เอาไปทั้งสแกน เอาไปทั้งส่องแว่นขยายดูทุกองศาดูทุกมิติ
และก็ดูทุกหน้าพาสสปอร์ตครับ ทำให้ค่อนข้างล่าช้า

จากนั้นก็มาด่านต่อไปก็คือรอกระเป๋าที่สายพานนานมากกกกกกกกกก
รอราวๆ เกือบชั่วโมงนะครับโชคดีที่ใกล้ๆ
สายพานมีตู้ขายตั๋วรถไฟแอโรเอ็กซ์เพรสอัตโนมัติ ราคาคนละ 500 รูเบิ้ลก็เลยซื้อตรงนั้นไปเลย
เพราะออกจากสนามบินโดโมเดโดโว (DME)
ได้ก็ข้ามถนนมาเพื่อที่จะไปสู่สถานีรถไฟ Aeroexpress เลยครับ
ซึ่งจะเข้าสู่ตัวเมือง ใช้เวลาเดินทางประมาณ 45 นาทีครับ

สถานีรถไฟใต้ดินที่มอสโก รัสเซีย เป็นระบบขนส่งหลักครับ
ซึ่งถือว่ามีความสวยงามติดอันดับโลก
สาเหตุที่รัสเซียออกแบบให้ภายในสถานีรถไฟใต้ดินมีความโอ่โถง หรูหรา
ก็เพราะไม่ได้ต้องการให้รถไฟฟ้าใต้ดินเป็นเพียงแค่ระบบการขนส่งสาธารณะ
แต่ต้องการให้เป็นเสมือนพระราชวังใต้ดินสำหรับคนธรรมดาทั่วไป
ที่อาจจะไม่เคยมีโอกาสได้อยู่ ได้เห็น พระราชวังจริงๆ
ด้วยเหตุนี้จึงประโคมสถาปัตยกรรม ความสวยงาม หรูหรา
วัสดุที่ใช้พวกรูปปั้น งานประติมากรรม ผนังหินอ่อน หินแกรนิต โคมไฟ กระจก
ลวดลายแกะสลักต่างๆ จึงจัดเต็มมากๆ
และสามารถบ่งบอกถึงความเป็นศิลปะศิลปินและวัฒนธรรมของชาวรัสเซียในแต่ละยุคสมัยได้เป็นอย่างดี

นอกจากนี้ยังมีการจัดทำอนุสรณ์สถานและอนุสาวรีย์ไว้ภายในรถไฟฟ้าใต้ดินอีกด้วย

ขออนุญาติทำเนียน ตามนักท่องเที่ยวฝรั่ง มานั่งรถไฟเล่นครับ
การเดินทางภายในมอสโก ตั้งแต่สนามบินไปจนถึงสถานที่เที่ยวต่างๆ นิยมใช้ Metro ครับ
อาจจะมีนั่งงงๆ หลงทางอยู่บ้าง
ถ้าเดินในสถานีมาแล้วไปยังไงต่อ (วะ)
เป็นธรรมดาของการเดินทางต้องมีหลงมีงงกันบ้างถึงจะสนุกครับ
เป็นการหลงเอาฤกษ์เอาชัยเพียงครั้งเดียว ต่อไปเราก็จะไม่หลงแล้วครับ
เพราะว่าต้องใช้เวลาทำความเข้าใจ ศึกษาเรื่องของสถานที่ต่างๆ
เพราะส่วนใหญ่จะเป็นภาษารัสเซียทั้งหมดครับ

นกอินทรีย์สองตัว คือสัญลักษณ์ของรัสเซียในอดีต
ชาวรัสเซียเป็นคนรักธรรมชาติ รักครอบครัว ชอบแสงแดด
อาจจะเพราะมีสภาพอากาศที่หนาวเย็น
จึงชอบมาอาบแดดตามสวน
ทำกิจกรรมกลางแจ้ง
ส่วนฤดูหนาวก็เล่นสกี
มีการปรับตัวให้เข้ากับแต่ละสภาพอากาศได้
ทำให้คนรัสเซียตัวใหญ่ สุขภาพร่างกายแข็งแรง

ตัวเมืองมอสโก มีแม่น้ำมอสโกไหลผ่านมองมุมนี้จากวิหารโดมทองจะเห็นเครมลินและจตุรัสแดงอยู่ไกลๆ ครับ

ก่อนมาก็หาข้อมูลว่าจะใช้ wifi อะไรดี
ก็ไปจบที่ 4G Pocket WiFi เพราะให้บริการทางฝั่งยุโรปแล้วด้วย ขอสปีดเยอะๆ เน้นๆ

โทรคุยก็ง่ายดีครับ ฝากแมสเสนเจอร์มาส่งให้ถึงบ้าน
จองก่อนเดินทางได้ที่ https://www.4wifi.co.th

อาหารรัสเซียจะเน้นเสิร์ฟเป็นคอร์ส
หลักๆ คือซุป ขนมปัง สลัด ส่วนจานหลักคือไก่ย่าง หมูย่าง

แต่ถ้าถามหาร้านข้างทางที่พบเจอได้ทั่วไป ฝากท้องไว้กับ BURGER KING – Вкус Правит ได้เลยครับ

อ่อ มี McDonald’s ด้วยนะครับ
รสชาติพอแหลกล่ายยย

เอาภาพมุมสูงมาฝากกันก่อน จะได้มองภาพรวมของมอสโกได้ชัดขึ้น

ภาพนี้ถ่ายจาก T.V. Tower
เป็นจุดชมวิวทิวทัศน์อันตระการตา
เราสามารถมองไปได้ไกลถึง 20 กิโลเมตรจากจุดชมวิวซึ่งมีความสูงเหนือกรุงมอสโก 337 เมตร มองผ่านพื้นกระจกลงมาที่พื้นดินด้านล่าง

ภาพนี้ถ่ายราวๆ เกือบ 2 ทุ่มได้ แดดยังสว่างดีทีเดียว

ใกล้ๆ กับ T.V. Tower จะเป็นพิพิธภัณฑ์อวกาศมอสโก (Museum Of Cosmonautics)

ถือเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีความน่าสนใจอีกเเห่ง
เพราะเป็นการเเสดงให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของรัสเซียในช่วงปี ค.ศ.1960 ที่เป็นยุคที่มนุษยชาติกำลังสนใจในเรื่องของท้องฟ้า เเละเกิดสงครามเย็นที่ทำให้พวกเขาเเละอเมริกันต้องขับเคี่ยวกันอย่างหนักเพื่อพิชิตอวกาศให้ได้ เเละรัสเซียก็นับว่ามีความโดดเด่นเเละสำเร็จในหลายๆ เรื่องจนนำมาสู่ความภาคภูมิใจและกลายเป็นพิพิธภัณฑ์ในที่สุด

ตัวอาคารด้านหลังผมนี้เรียกว่า Monument to the Conquerors of Space

มีความสุงกว่า 100 เมตร ซึ่งเป็นลักษณะของรูปจรวดที่กำลังทะยานขึ้นไปสู่ท้องฟ้า ทำมาจากเหล็กกล้าเเละไททาเนียม
ซึ่งเป็นวัสดุที่นำมาสร้างจรวดเเละยานอวกาศจริงๆ

“เครมลิน” ในภาษารัสเซียนั้น มีความหมายแปลว่าป้อมปราการที่มีคูเมืองล้อมรอบ
ซึ่งภายในป้อมปราการหรือเครมลินนั้นก็จะประกอบไปด้วย
พระราชวัง วิหารสำคัญๆ และที่ทำการของรัฐบาลต่างๆ
แต่เรามักเรียกกันแบบรวมๆ ไปว่า “พระราชวังเครมลิน” (Большой Кремлёвский дворец)
เกิดขึ้นมาพร้อมๆ กับการสร้างเมืองมอสโกในปี ค.ศ.1147
โดยผู้สร้างก็คือเจ้าชายยูริ โดลโกรูกี้ พระราชโอรสของกษัตริย์วลาดิเมียร์ โมโนมาด แห่งเมืองเคียฟ
เจ้าชายยูริได้ย้ายเมืองมาตั้งอยู่บนเนินเขาริมแม่น้ำมอสควาที่ไหลผ่านกลางเมือง
เชื่อมต่อกับแม่น้ำโวลก้า และได้สร้างค่าย สร้างประตู สร้างกำแพงเมืองหินปูนสีขาว
รวมไปถึงยังสร้างพระราชวังภายในเครมลินแห่งนี้
ซึ่งในสมัยนั้นยังก่อสร้างด้วยไม้และดิน
ไม่ได้มีรูปร่างลักษณะเหมือนอย่างที่เราเห็นทุกวันนี้ครับ

ต่อมา ในสมัยของพระเจ้าอิวานที่ 3 มหาราช (Ivan the Great)
พระองค์ได้ปลดปล่อยรัสเซียจากการปกครองของพวกมองโกล
ได้พัฒนาบ้านเมืองให้เจริญขึ้นในหลายๆ ด้านครับ
พระองค์ได้มีการปรับเปลี่ยน แต่งเสริมและ ออกแบบเพิ่ม
โดยทีมสถาปนิกภายใต้การบริหารจัดการของคอนสแตนติน ธอน
ซึ่งเป็นช่างที่ได้ศึกษาศิลปกรรมของอิตาลีมาเป็นช่างผู้ออกแบบ

พระราชวังเครมลินมีเจตนาที่จะตอกย้ำถึงความยิ่งใหญ่ของระบอบอัตตาธิปไตยรัสเซีย
คอนสแตนติน ธอนยังเป็นสถาปนิกของเครมลินอาร์มัวรี และมหาวิหารพระคริสต์ผู้ไถ่
เปลี่ยนจากกำแพงหินปูนสีขาวมาเป็นกำแพงอิฐสีแดง
และได้มีการบูรณะพระราชวัง วางผังเมือง สร้างโบสถ์
โดยพระองค์ได้ทรงนำเอาช่างชาวอิตาลีมาออกแบบสิ่งก่อสร้างต่างๆ ให้งดงาม

พระราชวังเครมลิน มีความสง่างามด้วยสถาปัตยกรรมแบบบารอกและคลาสสิค
ตั้งอยู่บนเนินเขาชื่อ “โบโรวิตสกาย่
า” (Borovitskaya) เดิมเคยเป็นพระตำหนักของซาร์หรือจักรพรรดิในมอสโกว
ต่อมาเป็นทำเนียบรัฐบาล เป็นศูนย์บัญชาการของผู้ครองนครมอสโกและจักรวรรดิรัสเซีย
รวมทั้งเป็นศูนย์กลางของคริสตจักรนิกายออร์โธดอกซ์ ซึ่งได้รับมาจากจักรวรรดิไบแซนไทน์ หรือโรมที่ 2 ครับ

พระราชวังซึ่งเป็นอาคารสีครีมมียอดโดมทรงกลมยอดแหลมอยู่ตรงกลางแห่งนี้
จึงมีกลิ่นอายของศิลปะอิตาเลียนผสมอยู่ไม่น้อย
ว่ากันว่า มีห้องหับต่างๆ ในพระราชวังนี้ถึง 700 ห้องเลยทีเดียว
เรื่องความสวยงามนั้นก็มาเป็นที่หนึ่ง
โดยมีทั้งเครื่องตกแต่ง ภาพประดับภาพฝาผนัง
รวมไปถึงโคมไฟหรือแชนเดอร์เลียอลังการที่ประดับอยู่มากมาย ทั้งนี้เราไม่สามารถเดินผ่านได้ครับ
ก่อนจะเข้าชมภายในเครมลิน ต้องไปซื้อตั๋วก่อนครับ

การขายตั๋วนั้นจะขายบริเวณสวนด้านข้างเครมลินครับ
จะแบ่งออกเป็นตั๋วเข้าชมภายในทั่วไป ราคา 500 รูเบิ้ล หรือประมาณ 300 บาท
และตั๋วเข้าชมห้องพิเศษ คือ “พิพิธภัณฑ์อาร์มัวรี่ แชมเบอร์” (The State Armoury Chamber)
ราคา 700 รูเบิ้ล หรือประมาณ 420 บาท
และ “พิพิธภัณฑ์เพชร” (The State Diamond Fund )
ใครสนใจจองตั๋วเข้าชมแบบออนไลน์ก็คลิกที่นี่ครับ http://tickets.kreml.ru/en/#id=1

ประตูทางเข้าเครมลินสามารถเข้าได้หลายประตูครับ
แต่ละประตูก็จะเน้นการตรวจตราที่เข้มงวดเป็นพิเศษ
มีล็อคเกอร์ให้ฝากของด้วยครับ เราเลือกเข้าที่ประตู “Vodovzvodnaya Tower”
ต้องผ่านการตรวจตั๋วบริเวณบันไดด้านล่างและเข้าเครื่องแสกนอีกครั้งเมื่อขึ้นมาถึงชั้นบน
ก่อนจะข้ามสะพานที่เป็นแนวกำแพงพาดผ่านถนนเล็กๆ ด้านล่าง เพื่อเข้าสู่ภายในเครมลินต่อไป

เมื่อเข้ามาแล้วจะเจอกับนายทหารยืนเฝ้าบริเวณด้านหน้าครับ
เมื่อผ่านเจ้าหน้าที่มาจะเจอกับป้อมประตูที่มีลวดลายสวยงาม
(อย่าลืมหันหลังกลับไปถ่าย)
ซึ่งความน่าสนใจของเครมลินเริ่มขึ้นตั้งแต่หน้าประตูเลยครับ

บริเวณโดยรอบเครมลินมีหอคอย 19 แห่ง
มีป้อมปราการ 23 แห่ง ป้อมแต่ละป้อมก็มีรายละเอียดที่แตกต่างกัน
ตั้งแต่ความสูงของป้อม การตกแต่ง เช่นบางป้อมมีดาวแดงประดับอยู่บนยอด
บางป้อมทำเป็นหอนาฬิกา
สำหรับป้อมที่เราเดินเข้ามานี้ก็เป็นอีกป้อมหนึ่งที่มีดวงดาวประดับอยู่
เครมลินมีกำแพงรายล้อมความยาว 2,235 เมตร
มีความสูง 5-20 เมตร ขึ้นอยู่กับความชัน
ด้านขวามือเป็นพระราชวังเครมลิน
ส่วนด้านซ้ายมือในระดับสายตาปะทะอันดับแรกจะเห็นตึกสีเหลืองคืออาคารคลังแสงโบราณ
สังเกตได้จากปืนหลายกระบอกที่ตั้งอยู่ด้านหน้า
ใกล้กันเป็นหอคอยทรินิตี้ (Trinity Tower)
สร้างขึ้นในปี 1495 ไม่ไกลกันนักเป็นที่ทำการของประธานาธิบดีปัจจุบันอีกด้วย

เดินเข้ามาด้านในอีกนิด ทางขวามือก็จะมีปืนใหญ่กระบอกโตตั้งอยู่
ปืนใหญ่ที่มาตั้งอยู่ที่นี่เรียกกันว่า ปืนใหญ่พระเจ้าซาร์ (Tsar Cannon)
สร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1586 โดยนายอังเดร โชคอฟ (Andrey Chokhov)
ว่ากันว่าเป็นปืนใหญ่ที่ใหญ่ที่สุดในโลก
ส่วน “ระฆังของพระเจ้าซาร์” (Tsar Bell) ที่อยู่ใกล้กัน หล่อขึ้นในปี 1733
เป็นระฆังที่ใหญ่ที่สุดในโลก น้ำหนักกว่า 200 ตัน
มองจากหอระฆังไปทางขวาจะเจอกับหอนาฬิกาซาวิเออร์ (Savior Tower)
เป็นศิลปะแบบโกธิก ตั้งอยู่บนป้อมสปาสสกายา (Spasskaya Tower)
สามารถมองเห็นได้ตั้งแต่ภายนอกบริเวณจัตุรัสแดง และจะตีบอกเวลาทุก 15 นาที

เมื่อเดินผ่านหอระฆังอิวานเข้ามาแล้ว เราก็จะพบกับส่วนที่สวยงามแห่งหนึ่งของเครมลิน
นั่นก็คือ “จัตุรัสวิหาร” (Cathedral Square) ครับ ซึ่งเป็นที่ตั้งของวิหาร 3 หลังที่สำคัญ
นั่นก็คือวิหารอัสสัมชัญ (Cattthedral of the Assumption) หรือวิหารดอร์มิชั่น (Dormition Cathedral)

ด้านใต้จะเป็นวิหารอันนันซิเอชั่น (Cathedral of the Annuciation)
สร้างทับลงโบสถ์เก่าในสมัยอีวานที่3 มหาราช มีการต่อเติมจาก 3 โดมเป็น 9 โดม
ทาสีเหลืองทองอร่าม เป็นวิหารส่วนพระองค์ของซาร์และพระราชวงศ์
เพื่อใช้ประกอบพิธีทางศาสนา แต่งงานและสวดมนต์ในแต่ละวัน

ส่วนตรงกันข้ามจะเป็นวิหารอาร์คแอนเจิล ไมเคิล (Cathedral of the Archangel Michael)
เดิมเป็นโบสถ์ไม้เก่าแก่ เป็นวิหารที่ระลึกถึงการสิ้นพระชนม์ของแม่พระมารีย์ผู้กำเนิดพระเยซู
ใต้พื้นของวิหารมีโลงบรรจุศพของพระเจ้าอีวานที่ 1 ดมิทริ คอนสกอย
อีวานที่ 3 มหาราชและ อีวานที่ 4 จอมโหด
ภายในยังมีภาพเขียนแบบเฟรสโก้ (ปูนเปียก) วาดเป็นรูปนักบุญและพระสังฆราชต่างๆ ด้วยครับ

ออกจากจัตุรัสวิหารมาแล้ว เราก็กำลังจะเดินผ่านส่วนสำคัญที่สุดของเครมลิน
นั่นก็คือ “พระราชวังหลวงเครมลิน” (Great Kremlin Palace) สร้างในปี 1838
เป็นอาคารใหญ่สีขาวหลังคาเขียว
หลังคามีโดมยอดแหลม อาคารเป็นศิลปะแบบบารอกคลาสสิค
อดีตเป็นที่ประทับของพระเจ้าซาร์และพระบรมวงศานุวงศ์

เราทำได้เพียงเดินผ่านชอบความสวยงามบริเวณภายนอกเท่านั้น
ยิ่งเดินผ่านทางเลียบแม่น้ำมอสควา ต้องบอกว่าเป็นโมเม้นท์ที่น่าจะทับใจมากนัก

เดินออกจากเครมลินเลี้ยวมาทางขวาจะเจอกับลานกว้างๆ ก่อนทางเข้าจะเจออาคารนี้
เป็นที่พักของเราในคืนนี้ นั่นคือ โรงแรมโฟร์ซีซั่น
ตื่น ตื่น!! ฝันไปรึเปล่า

ค้นหาที่พักรัสเซียเพิ่มเติมได้ที่ www.booking.com

มองกวาดสายตาจากด้านซ้ายเป็นโรงแรมโฟร์ซีซั่น
ด้านขวาจะเป็นภาพนี้ ด้านหลังอาคารสีแดงนี้คือ “จตุรัสแดง” (Red Square)

ลานกว้างใจกลางเมืองที่เป็นเวทีของเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์ของรัสเซียไม่ว่าจะเป็นงานเฉลิมฉลองทางศาสนา หรือการประท้วงทางการเมือง สร้างในสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 17 ปัจจุบันสถานที่แห่งนี้ใช้จัดงานในช่วงเทศกาลสำคัญๆ เช่น วันปีใหม่ วันชาติ วันแรงงาน และวันที่ระลึกสงครามโลกครั้งที่ 2

ทางเข้าจตุรัสแดง จะมีถัดซุ้มประตู อยู่ครับ
ที่หน้าซุ้มประตูจะมี ที่ตั้งของกิโลเมตรที่ศูนย์ของรัสเซีย
สังเกตได้จากตรงพื้นถนนจะมีสัญลักษณ์เป็นวงกลมครับ
และภายในวงกลมนี้เอง
ในแต่ละวันจะมีนักท่องเที่ยวยืนต่อแถวเข้าไปยืนกลางวงกลม
แล้วโยนเหรียญข้ามไหล่ตัวเองไปด้านหลัง
เพื่ออธิษฐานให้ได้กลับมาที่มอสโกอีกครั้ง
แต่!! เชื่อไหมครับ
พอเราโยนเหรียญตกลงพื้นดัง กริ๊งงงงงง
ทันใดนั้น จะมีตาลุง
บางทีก็คนเดียว
บางทีก็มายืนกันเป็นกลุ่ม
เดินเข้ามาเก็บเหรียญนั้นโดยพลัน
แถมยังมีไม้กายสิทธ์ติดแม่เหล็กตรงปลาย
คอยจุ๊บเหรียญเราไปอีกด้วย
นวัตกรรม ชัดๆ

โอ้โห.. นี่มันแหล่งรายได้ของเศรษฐีรัสเซียเลยมั้งเนี่ย
ทำงานง่ายยิ่งกว่าตามเก็บค่าแชร์
แหม … จะรอให้เหรียญสัมผัสพื้นสัก 5 วินาทีหน่อยก็ไม่ได้!!
แล้วแบบนี้คำอธิษฐานจะเป็นจริงไหมเนี่ย
จะได้กลับมาอีกมั้ย รัสเซีย
แต่คิดว่าได้กลับมาอีกนะ

เดินเข้ามาด้านในของจตุรัสแดง
จะพามาเที่ยวห้าง ГУМ ที่เก่าแก่ที่สุด ทำเลดีที่สุด หรูหรา และมีชื่อเสียงที่สุดในรัสเซีย
ก่อนจะไปเดินจตุรัสแดง ขอแวะเข้าห้างก่อนนะครับ
เพราะได้ข่าวมาว่าไอศครีมของห้างนี้เค้าอร่อยมาก
เป็นสูตรที่มีมากว่าร้อยปี พอๆ กับอายุห้างเลยครับ
ห้างสรรพสินค้านี้มีชื่อว่า ГУМ “กุม”
(GUM – Glavnyi Universalnyi Magazin)
“GUM” เป็นคำย่อในภาษารัสเซีย
มีความหมายในภาษาอังกฤษว่า State Edpartment Store
สะท้อนถึงความสำคัญของห้างสรรพสินค้าที่มีพื้นที่ขนาดใหญ่ในฝั่งตะวันออกของย่านเรดสแควร์
ครอบคลุมเขต Kitay-Gorod ทั้งหมดครับ
ห้างนี้ เป็นอาคารสูง 3 ชั้น ปัจจุบันเป็นห้างที่หรูหรา ใหญ่โต และสวยงามมากๆ
สร้างโดย Alexander Pomerantsev ในช่วงระหว่างปี 1890-1893
Alexander ออกแบบโดยผสมผสานสถาปัตยกรรมโบสถ์คริสเตียนในยุคกลางของรัสเซีย
เข้ากับโครงสร้างเหล็กอันทรงสง่าและหลังคากระจกอันหรูหรา
เปิดให้ส่องแสงเข้ามาให้ความสว่างแก่ตัวอาคารได้เป็นอย่างดี
เป็นการประหยัดพลังงานไปด้วยในตัว
(แต่ถ้าช่วงหน้าร้อนก็แอบเปลืองแอร์เล็กน้อย)
ระเบียงทางเดินก่ออิฐ
ตกแต่งภายในอย่างสง่างามสะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงแห่งศตวรรษ
หลังจากการปฏิวัติทางการเมืองในปี 1917
อาเขตแห่งนี้ถูกทางการยึดครองและเปลี่ยนชื่อเป็น “GUM”
ประกอบด้วยอาคารสามแถวขนานกัน ไปบรรจบที่น้ำพุซึ่งเป็นจุดศูนย์กลาง
สามารถหาซื้อของได้เหมือนห้างหรูหราทั่วไปในโลก
มีทั้งเหล่าพลพรรคแบรนด์นอกสุดฮิป ดีไซเนอร์สุดฮอต ร้านบูติกสุดหรู
เรียกได้ว่ามีแบรนด์ไฮเอนด์เกือบทุกแบรนด์ครับ รวมไปถึงร้านอาหาร , คาเฟ่ และภัตตาคาร
ที่แนะนำก็ต้องเป็นไอศครีมครับ
มีขายหลายจุดในห้างกุม สังเกตได้ครับว่ามีแถวยาวๆ ต่อกันแทบทุกจุด
แต่รอไม่นานนะครับเพราะเค้าตักใส่กรวยไว้รออยู่แล้วแค่จ่ายเงิน 50 รูเบิ้ลก็จะได้มาทาน 1 กรวย 1 สกูป
มีทั้งรสวานิลลา คาราเมล พิชตาซิโอ ราสเบอรี่
ส่วนใครอยากทางไอศครีมสูตรลับของทางร้านเหมือนผม
ก็ต้องเพิ่มตังค์อีกนิด จะได้เป็นไอศครีมแท่งวานิลลา เคลือบช็อคโกแลตบางกรอบครับ
เรียกได้ว่าเป็นห้างที่ครบครันและสะดวกสบายง่ายต่อการเดินทางครับ
เหนื่อยจากการเดินที่จตุรัสแดงก็และกลับเข้าห้างมาหาอะไรอร่อยๆ ทาน
นั่งพักจนหายเหนื่อยเสร็จแล้วก็เดินเที่ยวต่อได้สบายๆ ครับ
นับเป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่อยากจะแนะนำเวลามาเที่ยวที่มอสโกครับ

ริเวณโดยรอบของจัตุรัสแดงเป็นที่ตั้ง ของกลุ่มสถาปัตยกรรมที่สวยงาม คือ
มหาวิหารเซนต์บาซิล (St. Basil’s Cathedral)
สร้างโดยพระเจ้าอีวานที่ 4 จอมโหด (Ivan IV the Terrible)
ในปีค.ศ. 1555 เพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งชัยชนะที่มีเหนือพวกตาตาร์ในเขตแดนคาซาน (Kazan)
เป็นตัวแทนของอิสรภาพเสรีภาพและอธิปไตยที่สามารถหลุดพ้นจากความเป็นทาส
หลังจากถูกกดขี่มานานหลายศตวรรษ
ความงดงามโดดเด่นถือเป็นเอกลักษณ์หนึ่งเดียวในโลก
ในทางสถาปัตยกรรมที่เป็นมหาวิการที่มี 9 โบสถ์รวมอยู่เป็นหนึ่งเดียวกัน
บนความสูง 47.5 เมตรสามารถเดินเข้าไปชมด้านในได้
โดยซื้อตั๋วบริเวณด้านหน้าข้างในถ่ายรูปได้ครับ
แต่ละโบสถ์จะมียอดโดมรูปทรงคล้ายหัวหอมที่มีขนาดและลวดลายแตกต่างกัน
มีสีสันสวยงามที่ไม่เหมือนกันเลย
แต่กลับมีความเหมาะเจาะประสานกลมกลืนรวมกันได้เป็นหนึ่งเดียวอย่างน่ามหัศจรรย์
ปลายยอดประดับด้วยไม้กางเขนทองคำ
เป็นลักษณะศิลปะที่เกิดจากจินตนาการแห่งเทพนิยาย
ซึ่งเป็นพระบัญชาหรือแรงบันดาลใจจากเทพเจ้าบนสรวงสวรรค์
ซึ่งถือเป็นความอัจฉริยะของ “ปอสต์นิก บาร์มา” (Postnik Barma) สถาปนิกชาวรัสเซียที่แท้จริง
แต่สุดท้ายภายหลังการก่อสร้างเสร็จสมบูรณ์
พระเจ้าอีวานที่สี่จอมโหดได้ปูนบำเหน็จรางวัลให้กับสถาปนิก
ด้วยการควักดวงตาทั้งสองข้างออกมาเพื่อให้กลายเป็นคนตาบอด
จะได้ไม่สามารถไปออกแบบก่อสร้างมาหาวิหารที่สวยงามเช่นนี้ในที่ใดในโลกได้อีก
(ถึงได้ฉายาจอมโหด)
ด้านหน้าจะเห็นอนุสาวรีย์วีรบุรุษของชายสองคน
คือ “คุซมา มินิน” (Kuzma Minin) กับ “ดมิทริ โปซาร์สกี้” (Dmitry Pozharsky)
ผู้นำชาวรัสเซียที่นำทัพเข้าต่อต้านการรุกรานของชาวโปลและลิทัวเนียในปีค.ศ. 1612
จนได้รับชัยชนะและรักษากรุงมอสโกไว้ได้สำเร็จ
และได้มีการสร้างอนุสาวรีย์แห่งนี้ไว้เป็นอนุสรณ์ในปีค.ศ. 1818

ไม่ไกลจากตัวเมืองมอสโกมากนัก มีเมืองเล็กๆ ที่เงียบสงบอยู่ชื่อ เมืองซาร์กอร์ส (Zagorsk)
เมืองนี้เปรียบเสมือนเมืองโบราณ เพราะเมืองซากอร์สได้เป็นที่ตั้งของศาสนสถานที่ใหญ่ที่สุดและเก่าแก่ที่สุด ในคริสต์ศตวรรษที่ 14-17 เป็นที่แสวงบุญที่ศักดิ์สิทธิ์ของประเทศ เป็นวิทยาลัยสอนศิลปะ สอนการร้องเพลงทางศาสนา สอนการวาดภาพไอคอน เป็นวิทยาลัยสงฆ์ ชมโบสถ์โฮลีทรินิตี้ (Holy Trinity Monastery) เป็นโบสถ์แรกของเมืองมียอดโดมสีฟ้า ซึ่งเป็นสถานที่ประกอบศาสนพิธีโบราณที่สำคัญ

ถนนอารบัต (Arbat Street) เป็นถนนคนเดินยาวประมาณ 1 กม. เป็นทั้งย่านการค้า แหล่งรวมวัยรุ่น ร้านค้าของที่ระลึก ร้านนั่งเล่น ร้านอาหารมากมาย และยังมีศิลปินมานั่งวาดรูปเหมือน รูปล้อเลียน และศิลปินเล่นดนตรีเปิดหมวกอีกด้วย

มุมมหาชนของคนรัสเซียและนักท่องเที่ยวบนถนนอารบัต
เพราะอาคารนี้เป็นที่ตั้งของร้านกาแฟชื่อดังอย่าง Starbucks

เดินผ่านไปทางรถไฟใต้ดิน
ที่นี่เราจะเห็นศิลปินเยอะมากครับ
(ที่อารบัตช่วงเสาร์อาทิตย์ก็มีเยอะ)

รัสเซียถือเป็นประเทศที่มีวัฒนธรรมสูงครับ
กษัตริย์ทุกพระองค์ให้ความสำคัญกับเรื่องศาสนาควบคู่ไปกับศิลปวัฒนธรรม
อย่างสมัยพระเจ้าอีวานที่ 1 พระองค์ทรงเป็นต้นคิดเรื่องการนำยอดโดมทองทรงหัวหอม
ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมที่ทำให้คนทั้งโลกรู้จักรัสเซีย
ยุคพระนางแคเธอรีนก็มีนักประพันธ์เกิดขึ้นมากมาย
เพราะพระองค์ทรงชื่นชอบงานวรรณกรรม และศิลปะแบบทางยุโรป
เช่น เรเนอซองส์ โกธิก บารอก
ยุคนั้นจึงเป็นยุคทองของสถาปนิกในรัสเซีย

ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบันที่ผู้คนมีการถ่ายทอดงานศิลปะในรูปแบบต่างๆ ออกมาอย่างไม่ขาดสาย

นั่งรถไฟใต้ดินไปลงที่สถานี Izmailovsky Park จากตรงนั้นเดินเข้าไปในสวนชื่อเดียวกัน
ก็จะเจอตลาดของฝากครับ ต้องเดินไปพอสมควรสัก 5 นาที
จะเริ่มเห็นอาคารรูปร่างสวยงามแบบฉบับรัสเซีย
เข้ามาในตลาดกันครับ
ลงบันไดมาชั้นล่างจะเป็นโซนเปิดร้านขายของ
ชั้นบนจะเป็นโซนเปิดท้าย มีอะไรก็ขนมาขายได้
จากตรงนี้ ถ้าเดินตรงไปจะเป็นโซนที่ “โหดสัส รัสเซีย” พอสมควรครับ
เพราะมีทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับสมัยสงคราม ตั้งแต่ชุดทหารไปยันระเบิด!!
ของฝาก ที่จะพลาดไม่ได้เลยก็คือตุ๊กตามาโตรสก้า (MATRYOSHKA)
หรือตุ๊กตาแม่ลูกดก ที่เป็นสัญลักษณ์ของรัสเซีย
รวมถึงช็อคโกแล็ตหน้าเด็กในตำนาน Alonka
จากโรงงานผลิตของหวานเก่าแก่ของรัสเซีย Red October
สามารถซื้อได้ทั่วไปตามช็อปของร้าน
และร้านสะดวกซื้อหรือซุปเปอร์มาร์เก็ต
ราคาไม่ค่อยแพงมากครับ เห็นคนกวาดซื้อกันเป็นตะกร้าๆ
ถ้าใครไม่ชอบช็อคโกแลตนมหวานๆ แบบนี้ ให้ซื้อแบบดาร์กช็อคก็มีครับ

เราอยู่ที่มอสโก 3 วันครึ่ง เพราะช่วงครึ่งวันบ่ายเราจะนั่งรถไฟความเร็วสูง SAPSAN เพื่อเดินทางสู่เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ที่สถานีรถไฟ Moscow Leningradsky Station ใช้เวลาเดินทางประมาณ 3 ชั่วโมง 40 นาที ถึง 4 ชม. ด้วยความเร็วเฉลี่ย 166 กม.ต่อ ชั่วโมง มี 8-10 รอบต่อวัน เร็วสุด สะดวกสุด ราคาสูงสุด ประมาณ $85 ถึง $180

นอกจากนี้ยังมีรถไฟกลางคืน ใช้เวลา 8-10 ชม. ออกจากมอสโกเที่ยงคืนถึงตีสาม ประหยัดค่าที่พักไปได้หนึ่งคืน ราคาอยู่ที่ $45-$90

และเหนือกว่าด้วยรถไฟกลางคืนแบบหรู The Grand Express และ The Red Arrow มีที่นอนสะดวกสบาย มีอาหารและเครื่องดื่มบริการ ห้อง VIP มีที่อาบน้ำส่วนตัว ราคา $80-$120

สามารถเข้าไปจองตั๋ว และเช็ครอบเวลาได้ที่ http://www.russiantrains.com/en/trains/order

โรงแรมที่พักของผมที่เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ชื่อโรงแรม Grand Hotel Tchaikovsky ถือเป็นทำเลที่ดีเพราะใกล้สถานีรถไฟใต้ดิน และอยู่ไม่ไกลกับย่านหลักอย่าง ถนนเนฟสกี้ (Nevsky Prospekt) ซึ่งเป็นย่านชอปปิ้งหลักของเมือง ครั้นจะไปพักย่านนู้นก็ราคาสูง ขยับมาอีกนิดดีกว่า

ชอบโรงแรมนี้ตรงที่มีห้องใต้หลังคา สามารถนอนดูดาว เพราะเป็นหลังคากระจก และที่สำคัญอาหารเช้าเสิร์ฟ “เฝอ เวียดนาม” อร่อยมากกกกกก

เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ได้รับการขนานนามว่าเป็น เวนิสออฟนอร์ท เพราะเมืองนี้ตั้งอยู่ปากแม่น้ำเนวา ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของรัสเซีย

การที่ได้มาเที่ยวชมที่นี่นั้น คุ้มค่าเป็นอย่างยิ่ง เพราะเราจะได้ชมศิลปะอันล้ำค่ามากมาย ที่รายล้อมไปด้วยเรื่องราว ประวัติศาสตร์ต่างๆ

เวลาไปต่างประเทศ นอกจากแลนด์มาร์กยอดฮิตที่เราต้องไปเช็คอินแล้ว
แกลอรี่ และ พิพิธภัณฑ์ คือสถานที่ที่ผมชอบไปครับ
ไปเพื่อจะไปดูการบอกเล่าประวัติศาสตร์ ศิลปะ วัฒนธรรม
ผ่านสัญญะแห่งการเวลาที่แสดงออกมาภายนอกในรูปแบบที่แตกต่างกันไป�ที่รัสเซียก็มีเรื่องราวที่น่าสนใจและไม่ควรพลาดไปในหลายๆ แห่ง

สำหรับการก่อสร้างเมือง เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก เกิดขึ้นโดยพระเจ้าซาร์ปีเตอร์มหาราชที่ต้องการจะมีเมืองหลวงที่ยิ่งใหญ่ ปากทะเลบอลดิก

ต้องการก่อสร้างให้โอ่อ่าสมพระเกียรติของจักรวรรดิและราชวงศ์ โดยทรงสั่งให้สร้างเมืองเเห่งนี้ขึ้นในปี ค.ศ.1703 เพื่อให้เป็น “หน้าต่างแห่งโลกตะวันตก”

โดยมีท่าเรือพาณิชย์และเปิดรับวิทยาการยุโรปสมัยใหม่แทนกรุงมอสโคว์ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของอารยธรรมยุคเก่า เซนต์ปีเตอร์สเบิร์กจึงกลายเป็นเมืองที่ได้รับอิทธิพลจากอารยธรรมตะวันตกมากที่สุด ทั้งจากสถาปัตยกรรมบาโรคและนีโอคลาสสิกอันงดงามโอ่อ่าที่รายล้อมรอบเมือง

ในยุคนั้นจึงมีการสร้างทั้งพระราชวัง วิหาร เเละพิพิธภัณฑ์มากมาย ทั้งสร้างขึ้นมาใหม่เเละปรับปรุง กลายมาเป็นเมืองที่มีความยิ่งใหญ่เเละอลังการอย่างมากในยุคนั้น

เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก กลายเป็นจิ๊กซอว์ปริศนาชิ้นสำคัญที่ทำให้เราสามารถมองเห็นภาพรวมของประวัติศาสตร์รัสเซียที่มีความซับซ้อนได้อย่างสมบูรณ์แบบ

เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก เป็นเมืองที่ได้รับการกล่าวขานว่ามีสถาปัตยกรรมชั้นเยี่ยม เป็นเมืองที่สวยงาม และร่ำรวยที่สุดแห่งหนึ่งของโลก แถมยังเป็นมรดกโลกขององค์กรยูเนสโกด้วย

อาคารบ้านเรือนที่ทรงคุณค่าทางศิลปะ จึงปรากฎอยู่ทั่วหัวระแหง กลมกลืนไปกับวิทยาการสมัยใหม่ที่ก้าวหน้าขึนไปเรื่อยๆ ได้อย่างไม่ขัดแย้ง

เนื่องจากเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก เป็นเมืองท่าตั้งอยู่บริเวณปากแม่น้ำ Neva บริเวณอ่าว Finland ทะเล Baltic มีคลองและแม่น้ำผ่านหลายสายคล้าย ๆ กับ กรุงเทพฯ จนได้ชื่อว่าเป็น Venice of the North

เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก จึงเป็นเมืองในรัสเซียที่มีลักษณะเฉพาะตัวมากเป็นเมืองที่มีความเป็น Western มากที่สุดในรัสเซีย บ้านเมืองสิ่งปลูกสร้างดูคล้าย ๆ กับฝรั่งเศส อิตาลี เป็นสถาปัตยกรรมแนวบาโรคและนีโอคลาสิค ขณะที่ภูมิประเทศออกแนวคล้าย ๆ เวนิสและอัมสเตอร์ดัม ที่เป็นพื้นที่ราบริมทะเล เต็มไปด้วยแม่น้ำลำคลอง

เมื่อเป็นเช่นนั้นเราต้องลองล่องเรือทางข้าว มโนเอาว่าเหมือนหรือดีกว่า เรือล่องแม่น้ำเจ้าพระยานะ

ที่ล่องเรือมีแทบทุกคลองเลยครับ คลองหน้า Church of the Saviour on Spilled Blood (Griboedov Canal) ก็มี

เวลามีตั้งแต่ 1-3 ชั่วโมงแล้วแต่เส้นทางและกิจกรรม ถ้าทานอาหารค่ำด้วยก็อาจจะใช้เวลามากหน่อยครับ ตีเอาว่ามานั่งชิลล์ๆ ชมพระอาทิตย์ตกดินกันครับ

เดินทางไปที่เมืองปีเตอร์ฮอฟ (Peterhof) ซึ่งเป็นที่ตั้งของ พระราชวังฤดูร้อน เปโตรดวาเรสต์ (Peterhof Palace) ที่สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าปีเตอร์ มหาราช พระตำหนักที่ได้ชื่อว่าเป็น Russian Versailles เป็นพระราชวังที่งดงามโดดเด่นด้วยอุทยานน้ำพุที่พวยพุ่งมาจากรูปปั้นสีทองมากกว่า 100 แห่ง ด้วยสถาปัตยกรรมยุคทอง

ชอบมากเมื่อได้ยลโฉมงานประติมากรรมที่วิจิตรงดงามอลังการ ยิ่งห้องหับต่างๆ ภายในพระราชวังประดับด้วยทองคำอร่ามเรืองพร้อมภาพเขียนที่สวยงามเก่าแก่ทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์จนมิอาจประเมินค่าได้ส่วนภายนอกก็เต็มไปด้วยพฤกษานานาพันธุ์และสวนน้ำพุอันตระการ ตาสวยงามไม่แพ้พระราชวังแวร์ซายส์ในฝรั่งเศส

จากตัวเมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก เรานั่งรถออกไปยัง
เมือง Tsarskoye Selo หรือ เมืองพุชกิ้น (Pushkin) เมืองนี้เป็นที่ประทับในฤดูร้อนของราชวงศ์ เพื่อที่จะชมพระราชวังแคทเธอรีน (Catherine Palace) ภายในพุชกิ้นวิลเลจ (Pushkin Village) ด้วยสถาปัตยกรรมผสมผสานโดยนำเอาความโดดเด่นของศิลปะแบบโรโคโค (Rococo) ตัวอาคารทาสีฟ้าสดใส มีหลังคารูปโดมสีทองสุกปลั่งภายในประกอบด้วยห้องหับต่างๆนับร้อยโดยเฉพาะห้องอำพัน (Amber Room) ขออภัยที่ห้องนี้ถ่ายภาพไม่ได้ครับ

ไม่ไกลจาก พระราชวังแคทเธอรีน ก่อนออกจากพุชกิ้นวิลเลจ เราแวะช้อปปิ้งที่เอ้าท์เลทด้วยจ้า

หลายคนอาจจะไม่รู้ หรือไม่เคยมา แต่อยากบอกว่า ดีต่อใจมากๆ จัดหนักไม่ว่าจะเป็นรองเท้า adidas NIKE Reebox หรือจะชอบ BOSS ชอบ Lacoste ก็จัดไป ผมได้เสื้อแจ็กเก็ตมาตัวนึงลด 60% ถูกใจมากๆ

ที่พระราชวังฤดูหนาว (Winter Palace) เป็นอาคารขนาดใหญ่ที่มีห้องต่างๆ มากกว่า 1,050 ห้อง สถานที่แห่งนี้เคยใช้เป็นที่รับรองการเสด็จเยือนรัสเซียของรัชกาลที่ 5 ของไทยในการเจริญสัมพันธไมตรีไทย-รัสเซีย

เมื่อมาถึงที่นี่ก็ต้องเข้าชมพิพิธภัณฑ์เฮอร์มิเทจ (Hermitage Museum) ที่เก็บรวบรวมงานศิลปะล้ำค่าของโลกกว่า 3 ล้านชิ้น รวมทั้งภาพเขียนของจิตรกรเอกระดับโลก เช่น ลีโอนาโด ดาวินซี่,ปีกัสโซ, แรมบรันด์, แวนโก๊ะ ฯลฯ จัดเป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะที่สวยที่สุดและใหญ่ที่สุดติดอันดับ 3 ของโลกครับ

นอกจากนิทรรศการแบบถาวรที่จัดแสดงงานศิลปะแล้ว ที่นี่ยังมีนิทรรศการชั่วคราวที่หมุนเวียนไปเรื่อยๆ อีกด้วย อย่างครั้งที่ไปจะเป็นนิทรรศการที่ว่าด้วยโลกแห่งเทคโนโลยีที่รัสเซีย น่าสนใจมากครับ

วันนี้วันชมสวน … ใครว่ารัสเซียมีแต่ตึก พามาเดินเล่นสวนสาธารณะ ชมวิถีชีวิตของชาวรัสเซียที่เน้นความใกล้ชิดธรรมชาติท่ามกลางเมืองใหญ่ ในช่วงฤดูร้อน

เป็นมหาวิหารที่ชอบมาก สำหรับ St. Isaac’s Cathedral ว่ากันว่า เป็นวิหารที่มีการตกแต่งอลังการมากที่สุด ยอดโดมฉาบด้วยทองคำแท้ 100 กิโลกรัม และภายในใช้หินอ่อน และหินอื่นๆ กว่า 43 ชนิด แต่เดิมเคยเป็นที่ประกอบพิธีอภิเษกสมรสของกษัตริย์ปีเตอร์มหาราช และพระนางแคทเธอรีน แต่หลังจากนั้นไม่นานก็เกิดเหตุการณ์เพลิงไหม้ขึ้น จึงได้มีการก่อสร้างขึ้นใหม่ มีการออกแบบด้วยสถาปัตยกรรมแบบเรเนสซองส์ และบาโรก ตัววิหารใหญ่โต สีขาวบริสุทธิ์ ประดับด้วยประติมากรรมเหล็กอันงดงาม เป็นโบสถ์ออร์โทดอกซ์แห่งเดียวที่ประดับประดาตกแต่งด้วยกระจกสี

ทริปนี้ถ่ายรูปไปเกือบพันไป เพิ่งมาสังเกตว่าส่วนหนึ่งเป็นรูปถ่ายแชนเดอเลียร์ เพราะไปทางไหนก็เห็นแขวนประดับไว้ทั่ว

สะท้อนถึงความยิ่งใหญ่ วิจิตร งดงาม หรูหราตระการตาและราคาที่แพงระยับ

มหาวิหารคาซาน สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าปีเตอร์มหาราช เป็นสถาปัตยกรรมในรูปศิลปะแบบนีโอคลาสสิก ผสมผสานกับสถาปัตยกรรมแบบอิตาลี มีลักษณะรูปทรงครึ่งวงกลม มีเสาหินวางเรียงแถวยาวอย่างเป็นระเบียบ ประกอบไปด้วยเสาโรมัน 96 ต้น และโดมขนาดใหญ่ซึ่งมียอดสูงถึง 90 เมตร และยังมีสวนสาธารณะซึ่งเป็นนิยมของชาวรัสเซีย ด้านใน มีผู้คนมาประกอบพิธีกรรมทางศาสนาและสักการะขอพร ใกล้กันมีร้านกาแฟ Starbucks ให้ไปนั่งพักเหนื่อยได้ (อย่าลืมซื้อแก้วแม่ลูกดกติดมือกลับมาด้วยนะครับ)

โบสถ์แห่งหยดเลือด เป็นโบสถ์ที่สวยงาม โดยมีจุดเด่นอยู่ที่โดมหลากสี เเละน่าตื่นตาตื่นใจกับโมเสกมากมายที่เเสนจะสวยงาม แต่แฝงไปด้วยประวัติศาสตร์แห่งความเศร้า เป็นอนุสรณ์ที่พระเจ้าอเล็กซานเดอร์ที่ 3 สร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึงพระบิดา ซึ่งถูกลอบปลงพระชนม์ในปี ค.ศ. 1881

ป้อม Peter and Paul สร้างขึ้นปี ค.ศ 1703 เป็นสิ่งก่อสร้างที่สูงที่สุดของเมือง ลักษณะเป็นรูปทรงหกเหลี่ยม กำแพงเป็นหิน ก่ออิฐ สร้างเพื่อป้องกันการรุกรานจากศัตรู มีหอระฆังสูงเป็นสถาปัตยกรรมแบบบาโรก สร้างเพื่อเป็นเกียรติแด่ นักบุญปีเตอร์ และนักบุญปอลด์เพื่อเป็นการเผยแพร่ศาสนา

เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก เป็นเมืองโรแมนติก ครับ เราสามารถเดินเล่นได้ทั้งวัน ด้วยความสวยงามของอาคารสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ที่เเสดงออกถึงความยิ่งใหญ่ของรัสเซียในอดีต บ้านช่องห้องหับดูโอ่โถงใหญ่โต แต่ไม่พลุกพล่านวุ่นวายเท่ามอสโก

โชคดีที่ช่วงที่ไป เป็นช่วงการเฉลิมฉลองบนถนนเนฟสกี้ ซึ่งมีประวัติศาสตร์ศูนย์กลาง แห่งเมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก บรรยากาศก็คึกคักดีครับ

โดยสรุปแล้วรัสเซียอาจจะไม่ได้มีแค่ 2 เมืองใหญ่ที่น่าไปเที่ยว เช่น มอสโกหรือว่าเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กนะครับ

รัสเซียยังคงมีอีกหลายเรื่องราวที่รอให้เราไปค้นหา สถานที่ต่างๆ มีความงดงามทั้งตามธรรมชาติและสถาปัตยกรรมที่มนุษย์สร้างขึ้น ทั้ง พระราชวังอลังการ ประวัติศาสตร์อันเข้มข้น

นอกจากนี้ รัสเซียยังได้ชื่อว่าเป็นปอดของยุโรป เต็มไปด้วยธรรมชาติที่งดงาม สมบูรณ์
และมีมรดกโลกทางธรรมชาติมากถึง 11 แห่ง (และมี 17 แห่งเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรม)

แต่ด้วยเพราะว่าพื้นที่ที่ค่อนข้างกว้างใหญ่ไพศาลของประเทศก็ทำให้การเดินทางอาจจะต้องแบ่งโซนเที่ยวมิเช่นนั้นก็จะทำให้เหนื่อยกับการเดินทางไปมากๆ

เอาเป็นว่า ทริปหน้าหากไปรัสเซียอีก จะพาไปตะลุยธรรมชาติและชมแสงเหนือกันดูบ้างนะครับ

KΔNT
KΔNT

อดีตผู้ประกาศข่าวสายเศรษฐกิจ เจ้าของเพจ KANT.CO.TH ชื่นชอบในไลฟ์สไตล์ การท่องเที่ยวพักผ่อน ในโรงแรมหรู สนใจเรื่องราวงานดีไซน์ อสังหา การตลาด การลงทุน