LONDON DAY 3

#Savoyโรงแรมที่หรูสุดในลันดั้นนนน

“𝐍𝐨𝐭𝐡𝐢𝐧𝐠 𝐢𝐬 𝐜𝐞𝐫𝐭𝐚𝐢𝐧 𝐢𝐧 𝐋𝐨𝐧𝐝𝐨𝐧 𝐛𝐮𝐭 𝐞𝐱𝐩𝐞𝐧𝐬𝐞”

– William Shenstone

.

จากประสบการณ์ (ทดลอง)ใช้ชีวิตในลอนดอนมาประมาณหนึ่งสัปดาห์ของกานต์ คำพูดที่ว่า “ไม่มีอะไรแน่นอนในลอนดอนนอกจากค่าใช้จ่าย” ดูจะเป็นภาพสะท้อนความรู้สึกที่เรียลเหลือเกินครับ สะเทือนใจมากสำหรับเรื่องค่าครองชีพที่สูงในลอนดอน

.

William Shenstone เป็นกวีและนักเขียนชาวอังกฤษในศตวรรษที่ 18 เป็นที่รู้จักจากข้อสังเกตเกี่ยวกับชีวิตและสังคม เล่ามาตั้งแต่อดีตว่า ลอนดอนเป็นเมืองที่เลื่องชื่อเรื่องค่าครองชีพและอาจจำกัดทางเลือกในการใช้ชีวิต ถ้าเรามาอยู่ที่นี่จริงๆ

.

แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ลอนดอนมีความท้าทายและโอกาสมากมาย จึงเป็นส่วนผสมของความตื่นเต้นและความไม่แน่นอน เนื่องจากเป็นการใช้ชีวิตท่ามกลางความซับซ้อนในเมืองที่มีพลวัตและมีชีวิตชีวามากที่สุดเมืองหนึ่งของโลก

.

เหมือนกับประโยคที่ Sir Arthur Conan Doyle ผู้แต่งนิยาย The Adventures of Sherlock Holmes เคยเขียนอธิบายชะตาชีวิตของหมอวัตสันไว้ว่า “𝐈 𝐡𝐚𝐝 𝐧𝐞𝐢𝐭𝐡𝐞𝐫 𝐤𝐢𝐭𝐡 𝐧𝐨𝐫 𝐤𝐢𝐧 𝐢𝐧 𝐄𝐧𝐠𝐥𝐚𝐧𝐝, 𝐚𝐧𝐝 𝐰𝐚𝐬 𝐭𝐡𝐞𝐫𝐞𝐟𝐨𝐫𝐞 𝐚𝐬 𝐟𝐫𝐞𝐞 𝐚𝐬 𝐚𝐢𝐫 — 𝐨𝐫 𝐚𝐬 𝐟𝐫𝐞𝐞 𝐚𝐬 𝐚𝐧 𝐢𝐧𝐜𝐨𝐦𝐞 𝐨𝐟 𝐞𝐥𝐞𝐯𝐞𝐧 𝐬𝐡𝐢𝐥𝐥𝐢𝐧𝐠𝐬 𝐚𝐧𝐝 𝐬𝐢𝐱𝐩𝐞𝐧𝐜𝐞 𝐚 𝐝𝐚𝐲 𝐰𝐢𝐥𝐥 𝐩𝐞𝐫𝐦𝐢𝐭 𝐚 𝐦𝐚𝐧 𝐭𝐨 𝐛𝐞”

.

555+ ฟังแล้ว ช่างเหมือนชีวิตของคุณกานต์ในตอนนี้ เดียวดายในลอนดอนมาก

.

ครึ่งวันในเช้านี้เราจะออกไปเที่ยวคนเดียวที่ The Design Museum ซึ่งลอนดอนมีชื่อเสียงเรื่องการออกแบบอยู่แล้ว ตั้งใจจะไปชมนิทรรศการที่สะท้อนความสัมพันธ์ระหว่าง Designer, Maker และ User อย่างเราๆ

.

จากนั้น จะไปต่อที่บ้านเลขที่ 221 B Baker Street ซึ่งแน่นอนว่าเป็นที่ตั้งของ Sherlock Holmes Museum ซึ่งเป็นที่ตั้ง (สมมติ) ตอนที่ Sir Arthur Conan Doyle แต่งนิยายเรื่องนี้นี่แหละ

.

วันนี้วันอาทิตย์บรรยากาศในลอนดอนค่อนข้างคึกคักเพราะมีฟุตบอลเตะ ส่วนเราไม่ได้เป็นคอบอลแต่เป็นขากิน ตอนบ่ายเรามีนัดกับอดีตนักเรียนอังกฤษ ที่ Savoy Grill โดย Gordon Ramsey เพราะจริงๆ แล้วในวันอาทิตย์มื้อกลางวันจะมีเมนูพิเศษให้เราได้ลองทานกัน ส่วนผมเลือกสั่ง Classic beef Wellington เพราะอยากชิมสูตรต้นตำรับของ Ramsey มานาน

.

ร้านหรูหรามากตั้งอยู่ในโรงแรม Savoy โรงแรมอายุร้อยกว่าปีที่เคยได้ชื่อว่าหรูหราที่สุดในโลก ด้านในคือยังคงความคลาสสิคเอาไว้อยู่มาก

.

Guccio Gucci เจ้าของเสื้อผ้าและเครื่องหนังสุดหรูแบรนด์ Gucci ก็เคยทำงานที่นี่มาก่อน ในตำแหน่งพนักงานยกกระเป๋า ก่อนที่เขาจะได้สัมผัสกับกระเป๋าเดินทางระดับหรูที่ทำจากเครื่องหนังและทำให้เกิดความหลงใหลจนกลับไปสานต่อกิจการเครื่องหนังของที่บ้านก่อนจะสร้างแบรนด์ Gucci ในปี 1921 ซึ่งเพิ่งฉลองครบ 100 ปีไปเมือไม่นานมานี้

.

และที่ The Savoy ก็เนรมิตให้มีห้อง Royal Suite เฟอร์นิเจอร์ของตกแต่งจาก Gucci Décor Collection เสิร์ฟอาหารเช้าจาก Gucci Décor โดยเชฟส่วนตัว ส่วนที่ชั้นล่างของ The Savoy ก็ยังมี Gucci Valigeria เป็นช้อปสำหรับผลิตภันฑ์ของ Gucci อีกด้วย

.

เราใช้เวลานานพอสมควรที่ The Savoy ก่อนที่เดินต่อไปยังริมแม่น้ำเทมส์ แวะเดินเล่นที่ Covent Garden สักพัก บอกแล้วว่าชอบมาก

.

จากนั้นก็ตั้งใจว่าจะไปแวะ Notting Hill ซึ่งอยู่ทางผ่านกลับบ้าน เดินตลาด Portobello ในฉากเปิดเรื่อง ฮิวจ์ แกรนท์กำลังเดินไปตามตลาดถนนพอร์โทเบลโลระหว่างทางไปร้านหนังสือ The Travel Book Co. โดยที่เราจะไปตามหาร้านหนังสือเดินทางและบ้านประตูสีน้ำเงินของพระเอก จริงๆ แล้วเคยเป็นบ้านของคน Richard Curtis คือบ้านเลขที่ 280 อยู่หัวมุมหลังที่ 2 บนถนน Westbourne Park Road ตัดกับถนน Portobello อาจจะดูสับสนเพราะร้านส่วนใหญ่ในละแวกนี้ล้วนทาประตูสีน้ำเงิน

.

The Travel Bookshop ร้านหนังสือจริงๆ แล้วอยู่ไม่ไกลกันนักเคยเป็นร้านที่ ริชาร์ด เคอร์ติส คนเขียนบทหนังใช้ในการหาข้อมูลเพื่อเขียนบทและสร้างคาแรกเตอร์วิลเลียม แท็กเกอร์ ปัจจุบันปิดไปแล้ว ส่วนร้านหนังสือในภาพยนตร์นั้น จริงๆ แล้วถ่ายกันที่ร้านตรงเลขที่ 142 ถนน Portobello แต่เดิมเป็นร้านขายเฟอร์นิเจอร์ชื่อ Nicholls Antique Arcade ถูกนำมาทำเป็นฉากในภาพยนตร์ ปัจจุบันร้านนี้ถูกเปลี่ยนเป็นร้านขายของที่ระลึก ที่เขียนป้ายติดด้านหน้าว่า “The Travel Bookshop Nottjing Hill”

.

ถือว่าภารกิจสำเร็จ แต่ยังไงก็ต้องกลับมาซ้ำ เพราะลอนดอนเป็นเมืองที่ยังมีอะไรให้ค้นหาอีกเยอะมาก นี่ยังไม่นับว่ามีเมืองอื่นต้องไปอีกนะ ดีที่ได้วีซ่ามา 5 ปี จุกๆ

.

นึกไปถึงตอนที่นักข่าวถาม Anna’s หรือว่า Julia Roberts ในเรื่องว่าจะอยู่อังกฤษอีกนานแค่ไหน

“Anna, how long are you intending to stay here in Britain?”

Anna: “Indefinitely.” (ไม่มีกำหนดค่ะ)

.

ย้อนกลับไปอ่าน LONDON The Series through LEICA Q2

EP 1 >> bit.ly/kant_london_ep1

EP 2 >>bit.ly/kant_london_ep2

#london#londontrip#londonuk#savoy#savoygrill#notthinghill

วันนี้ตอนบ่ายมีนัดจะไปทานร้านอาหารหรูเมนูพิเศษที่ Savoy Grill โรงแรม Savoy

ดังนั้น เราจะมีเวลาว่างในช่วงเช้า ให้ได้ไปเข้าพิพิธภัณฑ์และตามรอยนิยายคลาสสิคในฝันเรื่อง Sherlock Holmes

แน่นอนว่า การเดินทางที่ง่าย สะดวกและไม่แพงคือซื้อตั๋วแบบ Day Pass ไปเลย ราคา 14.40 ปอนด์ เราก็จะสามารถใช้รถไฟได้ทั้งวัน

ที่แรกเราจะเริมจากใกล้บ้านก่อนลงสถานี Kensington Street แล้วเดินต่อไปทางซ้ายประมาณ 1 กิโลเมตรก็จะถึง Design Museum

แน่นอนว่าไม่เสียเงินค่าเข้าชม ยกเว้นนิทรรศการพิเศษ ซึ่งเราตั้งใจจะไปชมนิทรรศการถาวรที่ชั้น 3 มากกว่า ชั้นล่างจะมีงาน Designs for our future selves. และมีร้านขายหนังสืออยู่บริเวณทางเข้า

อย่างเช่นชิ้นนี้ไอเดียดี ผมชอบมาก ดีไซเนอร์เอาผ้าปูรองนอนมาตัดเย็บเป็นชุดคลุมกันหนาวได้

เราเดินขึ้นบันไดไปชั้นบน จะเป็นส่วนแสดงงานที่มีหลากหลาย ภายในพิพิธภัณฑ์ออกแบบสวย เน้นความโปร่งเดินง่ายไม่ซับซ้อน

ปกนิตยสาร DRUM ของทางแอฟริกัน เป็นนิทรรศการที่บอกเล่าตัวตนและวิวัฒนาการในงานดีไซน์ของพื้นที่ ผ่านสื่อศิลปะเช่น หนังสือ ดนตรี พื้นที่สาธารณะ ฯลฯ

นิทรรศการการออกแบบเก้าอี้

ผลงานชนะเลิศการประกวดออกแบบรางวัล Ralph Saltzman เป็นเก้าอี้ที่ทำจากซีเรียลที่เรากินกันตอนเช้า

ครึ่งหนึ่งของชั้นบนจะแสดงผลงานการออกแบบของศิลปินและดีไซเนอร์ Yinka Ilori ที่ได้รับอิทธิพลมาจากการผสมผสานของวัฒนธรรมที่มารวมกันในชุมชนผู้พลัดถิ่นทางตอนเหนือของลอนดอนที่เขาเติบโตขึ้นมา

เป็นการนำเสนอมุมมองที่ไม่เคยมีมาก่อนเกี่ยวกับการใช้พลังในการออกแบบของ Ilori เพื่อดูดซับอิทธิพลทางวัฒนธรรมและแสดงออกถึงการผสมผสานอันหลากหลายของอัตลักษณ์ของลอนดอน

ผลงานมีทั้ง งานศิลปะ ภาพถ่ายและเฟอร์นิเจอร์ ไปจนถึงสิ่งทอ หนังสือ และทรัพย์สินส่วนตัว โดยเฉพาะสิ่งทอของไนจีเรีย ผ้าแอฟริกันเหล่านี้ในวัยเด็กของเขาเป็นรากฐานของการปฏิบัติของเขา และเขามักจะจับรูปแบบเรขาคณิตที่มีสีสันซึ่งเป็นลักษณะการออกแบบของไนจีเรียในผลงานของเขา

ลองขึ้นลิฟต์ไปชั้นบนดูบ้าง ชอบ motto ที่แปะไว้หน้าลิฟต์นี้จัง

Designer Maker User นิทรรศการฟรี ที่นำเสนอถึงการพัฒนาการออกแบบสมัยใหม่ผ่านบทบาทที่เชื่อมโยงถึงกันทั้งสามบริบทนี้ น่าสนใจมากครับ

ตัวอย่างงานดีไซน์ที่เราพบเห็นกันในชีวิตประจำวันในลอนดอน

เป็นนิทรรศการที่ชอบมาก เพราะนำเสนอตัวอย่างงานออกแบบในศตวรรษที่ 20 และ 21 กว่า 1,000 รายการ นำเสนอผ่านมุมของนักออกแบบ ผู้ผลิต และผู้ใช้ ตั้งแต่สถาปัตยกรรมและวิศวกรรมไปจนถึงโลกดิจิทัล แฟชั่น และกราฟิก

ผลงานตัวอย่างการออกแบบห้องครัวที่แม่บ้านน่าจะชอบ

นี่เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ 27 ปีที่พิพิธภัณฑ์การออกแบบได้จัดนิทรรศการถาวรที่สำรวจประสบการณ์การออกแบบผ่านสามบทบาทที่เชื่อมโยงถึงกัน ผู้ออกแบบ ผู้ผลิต และผู้ใช้ น่าสนใจมาก

พิพิธภัณฑ์เองก็สวยท ได้รับการออกแบบโดย John Pawson เป็นโครงสร้างทางเรขาคณิตที่งดงาม โดยมีหลังคาทรงพาราโบลาไฮเพอร์โบลิก วัสดุหลักเป็นไม้โอ๊คที่ให้บรรยากาศอบอุ่นน่ารักและช่วยลดเสียงสะท้อนของอาคาร แถมยังได้กลิ่นของต้นโอ๊กอบอวลชวนให้บรรยากาศน่าดิน

เดินเล่นไปเรื่อย แวะกินกาแฟบ้าง จากนั้นก็จะนั่งต่อไปที่ Baker Street

บรรยากาศของลอนดอนช่วงนี้ดูแห้งๆ เสริมกับท้องฟ้าสีหม่นๆ ทำให้เป็นเมืองที่ช่างดูคุมโทนเศร้าสร้อยตลอดเวลา

มาถึงด้านหน้า The Sherlock Holmes Museum ไม่ได้จองตั๋วมาสามารถเข้าไปซื้อในร้านขายของที่ระลึกได้ ราคาคนละ 16 ปอนด์

ด้านในเป็นอพาร์ตเม้นต์ยุควิคตอเรียน ตกแต่งด้วยข้าวของเครื่องใช้ขอเชอร์ล็อคมากมาย ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจก่อนว่า เชอร์ล็อก โฮล์มส์และดร. วัตสันไม่มีตัวตนอยู่จริง ดังนั้นที่นี่จึงเป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีแรงบันดาลใจมาจากการเขียนนิยายของ Sir Arthur Conan Doyle เพราะเอาเข้าจริงๆ เลขที่บ้านหลังนี้ก็ไม่ใช้ 221 B แต่อย่างใด แต่เป็นบ้านเลขที่ 239

Sherlock Holmes สร้างโดย Sir Arthur Conan Doyle เรื่องราว เกิดขึ้นระหว่างปี 1881 และ 1904 เมื่อ Sherlock Holmes อาศัยอยู่ที่ 221B Baker Street กับเพื่อนและเพื่อนร่วมงานของเขา Dr. Watson

พิพิธภัณฑ์เชอร์ล็อก โฮล์มส์ดำเนินการโดยสมาคมเชอร์ล็อก โฮล์มส์นานาชาติ และมีแฟน ๆ เชอร์ล็อก โฮล์มส์มาเยี่ยมชมแล้วกว่า 2 ล้านคนนับตั้งแต่เปิดตัวครั้งแรกในปี 1990

พิพิธภัณฑ์แห่งนี้มีพื้นที่หลายชั้นและห้องต่าง ๆ จะถูกตกแต่งราวกับว่าตัวละครยังคงอาศัยอยู่ที่นั่น รวมถึงจัดแสดงสิ่งของจากเรื่องราวต่าง ๆ มากมาย มีไปป์หลายแบบแขวนอยู่ดูแล้วคลาสสิคมาก

มุมอ่านหนังสือริมหน้าต่างด้านหลัง

โถงกลางจัดวางเก้าอี้และมีหมวก ไปป์ แว่นขยาย สัญลักษณ์ของเชอร์ล็อควางเอาไว้ มีเชือกกั้น ไม่สามารถเข้าไปนั่งถ่ายรูปด้านในได้

บันไดทางขึ้นชั้น 3 บันไดแต่ละชั้นจะมี 17 ขั้น (เคยเขียนไว้ใน A Scandal in Bohemia) จะสังเกตว่าบ้านค่อนข้างแคบจึงต้องมีการจำกัดจำนวนผู้เข้าชมไม่ให้แออัดมากจนเกินไป

โต๊ะทดลองด้านหลังบ้าน เต็มไปด้วยสิ่งประดิษฐ์และเครื่องเรือนจากยุควิกตอเรียน

ชั้น 3 จะเป็นห้องนอนของคุณนายฮัดสัน ถ้าผมจำไม่ผิด

โถงบันไดมีหุ่นขี้ผึ้งจัดวางเอาไว้ กลางคืนคงหลอนน่าดู

ด้านหน้าดูธรรมดาไปเลยเมื่อเทียบกับภายในห้อง ซึ่งเป็นหุ่นขี้ผึ้งจำลองเนื้อหาจากตอนต่างๆ ในนิยาย

ฝั่งหน้าบ้านเป็นมุมอ่านหนังสือริมหน้าต่าง

ห้องฝั่งนี้น่าจะเป็นของคุณนายฮัดสัน มีความเป็นผู้ดีอังกฤษ จัดวางไว้อยู่มาก ตกแต่งด้วยวอลเปเปอร์แบบดั้งเดิม โคมไฟแก๊สไลท์ และอื่นๆ อีกมากมาย

จัดแสดงจดหมายที่เกี่ยวข้องกับในนิยาย

ปืนลูกโม่ Bulldog ที่ซ่อนอยู่ในพระคัมภีร์ที่เป็นของอดีตเจ้าอาวาส วิลเลี่ยมสัน ทุกอย่างจะถูกแสดงราวกับว่าเป็นวัตถุจริงที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์จริง ชอบมาก ดูคลาสสิคดี

ห้องต่างๆ เต็มไปด้วยของที่ระลึกที่น่าสนใจทุกประเภทซึ่งถูกอ้างอิงถึงในหนังสือ เช่น แว่นขยาย สำเนาเก่าของ The Times ท่อ ชุดเคมี ขวดหมึก ไวโอลิน กวางสตอล์กเกอร์ และอื่นๆ อีกมากมาย

ที่น่าสนใจคือที่นี่มีหนังสือและจดหมายที่นักอ่านส่งถึงเชอร์ล็อคเพื่อให้ช่วยไขปริศนาของพวกเข รวมไปถึงหลายๆ คนที่แสดงความรักต่อนวนิยายเรื่องนี้

บ้านของ Sherlock Holmes เป็นอีกหนึ่งสถานที่หากใครเป็นแฟนนักสืบแบบผมก็ควรแวะมา แต่ค่าตั๋วแอบแพงไปนิด

ชั้นบนสุดห้องใต้หลังคาเป็นห้องน้ำขนาดเล็กมาก ต้องขึ้นบันไดไปอีก 3 ขั้น

ถ่ายภาพกับผู้รับบทนายตำรวจที่เฝ้ายามหน้าบ้านกันหน่อย ใครมาก็ต้องขอถ่ายกันทุกคน ฮอตมาก

ติดกันเป็นร้านขายของที่ระลึกและหนังสือนิยาย ผมซื้อหมวกเชอร์ล็อคมาหนึ่งใบสวยดีครับ

จากนั้น เราจะนั่งแท๊กซี่ไปที่ Savoy กัน เพื่อไปทานกลางวันที่นั่น

บรรยากาศวันอาทิตย์ช่วงฤดูหนาวถือว่าคึกคักพอประมาณ ผู้คนออกมานอกบ้านรอเชียร์ฟุตบอลกัน

เละ!!

วันนี้รถไม่ติดใช้เวลาประมาณ 15 นาทีก็มาถึง

Taxi Cab จอดด้านหน้า มีพนักงานมาเปิดประตูต้อนรับ ติดกันเป็น Savoy Theatre

เราจองโต๊ะไว้ได้ตอนบ่าย 2 ถือว่าฮอตมาก คนเต็มตลอด ถ้าไม่ได้จองคงอด แต่มาก่อนเวลากำหนดก็ดี จะได้มีเวลาเก็บภาพโรงแรมที่หรูหราที่สุดในลอนดอน

ที่นี่จะเน้นความคลาสสิค มากกว่าสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ บรรยากาศถ้าให้เทียบก็เหมือนเข้าไปใน MO ประมาณนั้น

ลงบันไดไปด้านล่างจะเห็นห้องจิบน้ำชา ซึ่งต้องจองล่วงหน้าเช่นกัน

ใกล้กันเป็น Gucci Valigeria เป็นช้อปสำหรับผลิตภันฑ์ของ Gucci เพราะอย่างที่บอกไปว่า โรงแรม Savoy London เคยเป็นสถานที่ที่ Guccio Gucci เคยทำงานในตำแหน่งพนักงานยกระเป๋าเมื่อครั้งยังเยาว์วัย ก่อนจะได้แรงบันดาลใจในการสานต่อธุรกิจเครื่องหนังของครอบครัวที่อิตาลีในเวลาต่อมา และกลายเป็นแบรนด์ Gucci ในที่สุด

ร้านจะอยู่ด้านหน้าแต่ว่าใช้ทางเข้าเดียวกับในโรงแรม เมื่อใกล้ได้เวลา เราจะเข้าไปด้านในร้าน ซึ่งต้องบอกว่าคนเยอะมาก

แจ้งชื่อให้กับพนักงานทราบ บอกให้รอโต๊ะสักครู่ มีที่นั่งอยู่ด้านหน้าสำหรับรอคอย

บรรยากาศคึกคัก ร้านเพิ่งรีโนเวทใหม่ในสไตล์เรโทร ปี 1920 โดดเด่นด้วยโคมไฟใหญ่ยักษ์ดูเก๋ดี

บริกรเสิร์ฟน้ำ ยี่ห้อ Kingsdown (อีกแล้ว) จับกลุ่มร้านอาหารหรู แต่บ้านเรายังไม่ค่อยเห็นร้านไหนใช้ เป็นน้ำดื่มที่ให้รสธรรมชาติ ช่วยเสริมรสอาหารให้อร่อยขึ้น

ว่าซั่น!!

ขนมปังพร้อมเนย เท่าที่เคยทานขนมปังอังกฤษจะเนื้อแน่น หนัก ผิวนอกกรอบมาก ทานเรียกน้ำย่อยได้ดี

เพื่อนสั่ง Sunday Roasts ซึ่งเป็นเมนูพิเศษ จะขายเฉพาะวันอาทิตย์ช่วงเที่ยงถึง 5 โมงเย็นเท่านั้น

สั่งมาพร้อมกับ Sides จานใหญ่มาก

Sunday Roasts จานหลักเป็น Dry aged sirloin of beef เสิร์ฟคู่กับ Yorkshire pudding และ Trimmings ซึ่งคนลอนดอนส่วนใหญ่นิยมรับประทานเป็นของคาว คู่กับเนื้อย่าง

เครื่องเคียงของกานต์ ก็ตามมาติดๆ เป็น บร็อคโคลี่ผัดพริกกระเทียม และ Pomme purée

จานหลักเป็น Classic beef Wellington ซึ่งถ้าใครยังไม่เคยทานสูตรของ Ramsey บอกเลยว่าอย่าพลาด เนื้อคือนุ่มฉ่ำ ดรุกเซลหอมมากและเกาะตัวดีไม่แตกไม่เละ ส่วนแป้งพัฟเพรสทรี่ คือกรอบนอกนุ่มใน พนักงานวางซอสไว้ด้านข้างเผื่ออยากราดเพิ่ม ซอสไวน์แดงคือดี หอมเปรี้ยวหวานกลมกล่อม ตัดเลี่ยนได้ดี อร่อยมาก

ของหวานว่าจะสั่งเป็น เฟลมเป้ แบบโต๊ะอื่นดูน่าตื่นตาตื่นใจดี น่ากินมาก

แต่จานหลักคืออิ่มมาก กินของหวานคงไม่ไหว พนักงานเสิร์ฟช็อคโกแลตมาล้างปาก อร่อยดีครับ

อิ่ม อร่อย สมราคา เม้าท์มอยเสร็จก็ได้เวลาไปเดินย่อยกันต่อ

เย็นนี้ฟ้าดี มีแสงแดดสีทอง เราลองเดินไปเรื่อยๆ แวะ Covent Gatden ตอนเย็นๆ คึกคักดี

จากนั้น ก็นั่งรถต่อไปที่ ตลาด Portobello เพื่อจะไปบ้านประตูสีน้ำเงิน ในภาพยนตร์เรื่อง Notting Hill ซึ่งเมื่อไปถึงก็มีคนมาถ่ายรูปกับบ้านหลังนี้เรื่อยๆ เป็นฉากบ้านของพระเอก

จากนั้น ก็เดินเล่นไปต่อเพื่อจะไปหาร้านหนังสือตามในภาพยนตร์ บรรยากาศของ ตลาด Portobello ตอนเย็นวันอาทิตย์ไม่ค่อยคึกคักละ แต่ก็มีนักท่องเที่ยวเดินทางมาถ่ายรูปตามรอยอยู่เรื่อย ๆ

ปิดท้ายวันด้วยร้านหนังสือจากในภาพยนตร์เรื่อง Notting Hill ถือว่าเก็บแต้มได้อีกหนึ่ง สถานที่ที่อยากมาตามรอย จริงๆ มีอีกหลายสถานที่ในภาพยนตร์เรื่องนี้ แต่เราไม่ได้ตามไปเก็บจนครบเพราะมืดพอดี ไม่ว่าจะเป็น The Print Room (Coronet Cinema) สวน Rosmead หรือร้านกาแฟ CoffeeBello ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการเจอกันครั้งแรกของทั้งคู่

KΔNT
KΔNT

อดีตผู้ประกาศข่าวสายเศรษฐกิจ เจ้าของเพจ KANT.CO.TH ชื่นชอบในไลฟ์สไตล์ การท่องเที่ยวพักผ่อน ในโรงแรมหรู สนใจเรื่องราวงานดีไซน์ อสังหา การตลาด การลงทุน