La Maison 1888

La Maison 1888🍾

#ครั้งแรกของกานต์ กับการดื่มด่ำอาหารฝรั่งเศสชั้นหรูที่มีกลิ่นอายเวียดนาม จากเชฟเจ้าของ 3 ดาวมิชลิน Pierre Gagnaire ผู้ที่ได้ชื่อว่าปฏิวัติวงการอาหารด้วยศิลปะ

.

ร้านนี้เป็นร้าน 3 ดาวมิชลินแห่งแรกและแห่งเดียวของเวียดนามเลยครับ กานต์ไปทานมื้อค่ำระหว่างไปพักผ่อนที่ InterContinental Danang Sun Peninsula Resort ซึ่งนั่งรถรางผ่านหลายครั้ง มองจากด้านนอกเป็นวิลล่าฝรั่งเศสเก่าแก่ (ตามชื่อ Maison ภาษาฝรั่งเศสแปลว่า บ้าน) โดดเด่นด้วยการใช้สีขาวดำ ตั้งอยู่ท่ามกลางป่าสีเขียวของ Monkey Mountain

.

แน่นอนว่าที่นี่ออกแบบโดย Bill Bensley งานตกแต่งภายในทั้งหมดบ่งบอกสไตล์ของเขาได้ดีและมีเรื่องราวแฟนตาซีที่น่าสนใจ เพราะเป็นบ้านของตระกูลขุนนางฝรั่งเศสในประเทศที่เคยเป็นอาณานิคม แต่ละห้องจะตกแต่งแตกต่างกันไปตามรสนิยมและไลฟ์สไตล์ของเจ้าของบ้านซึ่งเป็นขุนนางอินโดจีนในปี 1888

.

ที่นี่จะมีทั้งห้องนักเดินทางสำหรับพี่ชายคนโตที่รักการท่องโลก ห้องนักบัญชีสำหรับน้องชายที่ดูแลเรื่องเงินทองของบ้าน ส่วนห้องแต่งตัวสีแดงในโรงละครเป็นของน้องสาวคนเล็ก ซึ่งงานดีเทลต้องบอกว่าดีเยี่ยมมาก ทุกอย่างสร้างและจัดวางอย่างกลมกลืนตั้งแต่เพดานยันถังขยะ!!

.

เราเลือกเป็น Esprit Pierre Gagnaire พร้อม Classic Wine Pairing ซึ่งที่นี่มีไวน์เยอะสุดในเวียดนามเต็มไปด้วยไวน์หายาก จิบเคล้ากับเสียงเพลงบอสซาโนวาปี 70 เบาๆ ผมว่าบรรยากาศเข้ากันดีมาก

.

จุดเด่นคือการเลือกใช้วัตถุดิบท้องถิ่นเปลี่ยนไปตามฤดูกาล (มาทานครั้งหน้าก็คงไม่ใช่เมนูนี้แล้วนะ) ผสานเข้ากับแก่นสารของการปรุงอาหารฝรั่งเศสชั้นสูง จึงออกมาเป็นเมนูที่น่าสนใจ เช่น Phuong Linh-style Lobster เชฟทำ Lobster ออกมา 3 แบบ หอมเครื่องเทศและรสชาติละมุนมาก อีกจานที่ชอบคือวากิวจาก Kagoshima เมืองที่ได้ชื่อว่าเนื้อวากิวดีที่สุดในโลก ทุกจาน Sommelier จับคู่อาหารกับไวน์ได้ยอดเยี่ยมมาก

.

ส่วนของหวานคือจานเด็ด Pierre Gagnaire Grand Dessert เชฟนำผลไม้ท้องถิ่นมาทำคล้ายกับลอยแก้วในซุปเฝอ ทีแรกฟังแล้วก็รู้สึกแปลกๆ แต่พอทานเข้าไปมันหอม หวานและเข้ากันดีมาก ส่วนอีก 3 จานก็ชอบมากเช่นกัน เขียนรายละเอียดให้อ่านต่อในแคปชั่นนะครับ

.

ไม่ต้องแปลกใจว่า La Maison 1888 ทำไมถึงได้รับรางวัลร้านอาหารเปิดใหม่ที่ดีที่สุดในโลก ล่าสุดกับรางวัล 50 Best Discovery และ Best of Award of Excellence จาก Wine Spectator ทุกปี จึงมีเซเลป คนดัง ดาราของเวียดนามและนักท่องเที่ยวมาทานดินเนอร์ที่นี่กันเยอะมาก ภายในยังมีบาร์ชื่อ Buffalo สำหรับใครที่อยากนั่งดื่มต่อ เพราะว่าไวน์ที่นี่เค้าดีจริงๆ

La Maison 1888 by Pierre Gagnaire เป็นร้านอาหาร Fine Dining ฝรั่งเศสระดับ 3 ดาวมิชลิน โดยเชฟ Pierre Gagnaire ผู้ซึ่งทำให้อาหารฝรั่งเศสชั้นหรูเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก มีร้านของเชฟอยู่ประมาณ 13 ร้าน และที่ InterContinental Danang Sun Peninsula Resort เป็นร้านมิชลิน 3 ดาวแห่งแรกและแห่งเดียวของเวียดนาม ซึ่งไม่ธรรมดานะเพราะไม่ได้ตั้งอยู่ในเมืองหลวงอย่างโฮจิมินต์หรือฮานอย แต่กลับมาเป็นเมืองดานังแทน ดังนั้น อาจจะต้องนั่งเครื่องหรือขับรถเพื่อตั้งใจมากินที่นี่ครับ

ร้านเต็มเกือบทุกคืนครับ ดังนั้น หากใครจะเข้าพักแนะนำให้จองไว้ก่อนเลย 2 คืนแรกเราก็ไม่ได้ที่นั่งเช่นกันเพราะไม่ได้จองไว้ โชคดีคืนก่อนกลับมีโต๊ะว่างเราเลยได้มีโอกาสสัมผัสกับรสมือของเชฟ Pierre Gagnaire ในบรรยากาศของวิลล่าฝรั่งเศสเก่าแก่ที่อยู่บนเนินเขามองเห็นชายทะเลเบื้องล่าง

ร้านจัดวางที่นั่งไว้ทั้งด้านนอกรับลมทะเลเย็นๆ และภายในเป็นห้องปรับอากาศมีทั้งห้องรวมและห้องส่วนตัวเฉพาะกลุ่มครับ ตกแต่งได้สวยงามตามแบบฉบับของ Bill Bensley สถาปนิกคนโปรดของผมเองครับ

เมื่อไปถึง พนักงานนำเราไปที่โต๊ะพร้อมกับทบทวนคอร์ส ก่อนจะเริ่มต้นด้วย Amuse-bouche ตามสไตล์ฝรั่งเศส จัดมาถึง 5 อย่าง ผมชอบที่สุดเป็น Green Pea Cappuccino รสชาติละมุนไม่เหม็นเขียวของถั่วลันเตาเลยครับ ส่วนจานบนตรงกลางเป็น พาเมซานชีส บอล นำไปทอดจนกรอบ ท๊อปด้วยซอสรสเผ็ดอร่อยดีในคำเดียว

ระหว่างทาน Amuse-bouche ขอเล่าถึงเรื่องราวของร้านอาหารที่มาจากวิลล่าหรูสไตล์ฝรั่งเศส La Maison 1888 ในบรรยากาศของบ้านพักตากอากาศ

ภาพรวมด้านนอกสวยงามมากครับ ดูหรูหรา คลาสสิค เป็นสถาปัตยกรรมแบบโคโลเนียลของฝรั่งเศสผสมผสานกับความเย้ายวนใจแบบอาร์ตเดโคของเวียดนาม

สถาปนิกเลือกใช้สีขาว ดำ ซึ่งจะตัดกับสีเขียวของต้นไม้และโดดเด่นจากสีสันของรีสอร์ต ด้านนอกจัดวางเก้าอี้และโต๊ะสำหรับนั่งดื่มในบรรยากาศสบายๆ เพราะด้านขวาเป็น Buffalo Bar ไม่ต้องมาทานข้าวก็สามารถนั่งดื่มที่นี่ได้นะครับ

โดยมากแขกที่มาพักที่ InterContinental Danang Sun Peninsula Resort ก็มักจะถือโอกาสเดินมาถ่ายรูปความงามของวิลล่าหลังนี้ สามารถลงรถรางได้ที่สถานี Earth ครับ สวยงามราวกับสวรรค์บนดินจริงๆ

เชฟ Pierre Gagnaire หนึ่งในเชฟที่ดีที่สุดในโลก ผู้ที่ได้ชื่อว่าปฏิวัติวงการอาหารด้วยศิลปะและเป็นเสาหลักของวงการอาหารฝรั่งเศสเพราะมีประสบการณ์มากว่า 5 ทศวรรษ

สตอรี่ของร้านเริ่มจากการที่เป็นวิลล่าของขุนนางอินโดจีน ซึ่งมีลูกสาวและลูกชายที่มีความชอบและไลฟ์สไตล์แตกต่างกันไป ชั้นล่างจะมีภาพวาดของลูกสาวประดับไว้สวยงาม

พาเดินขึ้นบันไดไปช้ันบนครับ ซึ่งจะเป็นห้องส่วนตัวที่ตกแต่งแตกต่างกันออกไป กลิ่นอายของอาร์ตเดโคจะเห็นได้จากการตกแต่งและทั้งหมดประดับด้วยภาพวาดฝีมือของสถาปนิกคือ Bill Bensley ไม่เว้นแม้แต่ภาพเชฟ Pierre Gagnaire

ห้องแรกเป็นห้องของพี่ชายคนโตที่หลงรักการเดินทางท่องโลก เราจึงได้เห็นการตกแต่งในสไตล์ที่โดดเด่นมีเครื่องบินแขวนไว้บนเพดานพร้อมกับแผนที่และมีของตกแต่งสไตล์วินเทจมากมาย

ภายในตู้มีของเก่าที่เป็นของสะสมแบบวินเทจสไตล์ที่นักเดินทางชอบและเก็บมาหมดแทบทุกอย่าง ผมก็นึกว่าผมเป็นพวกชอบเดินทางและสะสมของจากสถานที่ต่างๆ คนเดียวเสียอีกนะเนี่ย

มีพวกละ!!

อีกห้องเป็นของน้องชายคนกลาง ที่ชื่นชอบตัวเลข เงินๆ ทองๆ จดบันทึกบัญชี ห้องนี้จึงตกแต่งด้วยเครื่องพิมพ์ดีดและเครื่องคิดเล็กที่ทำจากเหล็กเก่าๆ แต่ที่ผมว่าเก๋ดีคือเพดานที่ทำออกมาคล้ายกับสมุดโน็ต

โดยรอบจะมีโถงทางเดินมองเห็นชั้นล่างตรงกลางคอร์ดซึ่งเป็นที่นั่งด้านนอก ส่วนชั้นบนจัดวางโซฟาที่นั่งพร้อมกับข้าวของประดับตกแต่งในสไตล์วินเทจดูกิ๊บเก๋ดีมาก

อีกห้องเป็นห้องของลูกสาวคนเล็กที่ชอบการแสดง โรงละคร สะท้อนออกมาในรูปของห้องแต่งตัวสีแดง มีโต๊ะเครื่องแป้งสไตล์จีนผสมเวียดนาม ผมชอบห้องนี้ดูร้อนแรงดี

ชั้นล่างด้านในเป็นห้องเก็บไวน์ซึ่งที่นี่มีไวน์เยอะที่สุดนับพันฉลาก มากที่สุดในเวียดนามและได้ชื่อว่าเก็บสะสมไวน์หายากไว้เยอะมากเช่นกัน มี Henri Jayer Cros Parantoux Burgundy และ Château-Grillet เพียงขวดเดียวของเวียดนาม ดังนั้น อาหารทุกคอร์สจึงมักจะแนะนำให้จับคู่กับไวน์เสมอเพราะซอมเมลิเย่ร์เก่งมากในการเลือกสรร

ก่อนเริ่มอาหารจานแรก ซอมเมลิเย่ร์นำไวน์มาให้ชม จานนี้จับคู่กับ 2019 Domaine Pierre-Henri Ginglinger Alsace, France

จานแรกเป็น Smoke eel พร้อมกับ Foie gras หวานนุ่มไม่มีกลิ่น เข้ากับดีกับ Chocolate และซอสคาราเมลเสาวรส

คอร์สต่อมาเป็น Phuong Linh-style lobster นำไปปรุง 3 แบบคือย่างสไตล์บาร์บีคิว ทำเป็น Ravioli ก็อร่อย และนำไปปรุงสไตล์อาหารท้องถิ่นจากเกาะ Ly Son ของเวียดนาม เหมือนเป็นครีมซุปในมะเขือเทศ

ทั้งหมด จับคู่กับไวน์ขาว 2016 Domaine des Herities du Comte Lafon, Clos de la Crochette Maconnais, Bourgogne, France มีความครีมมี่นิดๆ ฟรุ๊ตตี้หน่อยๆ เข้ากันดีกับ lobster ครับ

จานนี้ชอบมากเป็น Ravioli ไส้ Lobster 1 คำ

Main Course เป็นเนื้อวากิว A5+ จาก Kagoshima ประเทศญี่ปุ่น สารภาพเลยว่าไม่เคยทานวากิวที่ไหนได้นุ่มะละลายและยังมีสัมผัสของเนื้ออยู่แบบนี้ ที่เห็นเป็นก้อนฟูๆ คือหอมใหญ่นำไปหั่นฝอยแล้วทอด จานนี้ยกให้เป็นที่สุดครับ ทานคู่กับไวน์แดงฟูลบอดี้ สไปซี่นิดๆ จากฝรั่งเศส Crocus’ L’Atelier Cahors South West ปี 2018

มาถึงของหวานกันบ้าง ตั้งชื่อว่าเป็น THE PIERRE GAGNAIRE GRAND DESSERT มาพร้อมกับสโลแกน When French classics meet local flavours in four unique desserts เก๋มาก

จานแรกเป็นผลไม้ในซุปเฝอ ดูเหมือนไม่เข้ากันแต่มันอร่อยมากสดชื่น หวานหอมได้กลิ่นเครื่องเทศเบาๆ

ต่อมาเป็น Vacherin เป็น sorbet ผลไม้ในซอสส้ม ท๊อปด้วยวิปครีม

Lychees ทำเป็น sorbet เสิร์ฟพร้อมราสเบอรี่จากเมืองดาลัตของเวียดนาม ด้านข้างเป็นใบชิโซะนำไปชุบน้ำตาล หวานมากกก

ทาร์ต Chocolate Li Chu เสิร์ฟพร้อมกับ Chocolate ice cream และชิลลี่ซอส อร่อยดีเหมือนกัน แต่อิ่มมากไม่ไหว

ปิดท้ายด้วย Petits fours หวานโดนใจจนต้องร้องขอกาแฟดำมาช่วยเบรค

อิ่มแล้วววว ไม่ไหว ยอมรับว่าเป็นอาหารฝรั่งเศสของเชฟมิลชิน 3 ดาว รสชาติที่อร่อย ทานง่ายและถูกใจผมมากครับ ทีแรกว่าจะนั่งบาร์ต่อแต่ไม่เอาละ กลับวิลล่าเลยดีกว่า

เดินผ่านห้องนี้ ฮอตมากพนักงานเล่าสตอรี่ คือคนเวียดนามจะมีวัฒนธรรมการกินข้าวในห้องที่เชื่อมต่อกับครัว ซึ่งห้องนี้เป็นครัวที่เชฟทำอาหารกันจริงๆ ได้อารมณ์เชฟเทเบิล คนที่นี่ชอบกันมาก ห้องนี้จึงถูกจองเต็มทุกคืน

Buffalo Bar แต่ไม่ไหวแล้วอ่า ก่อนหน้านี้ก็คือจิบไวน์ไปหลายแก้วมาก ดื่มต่อไม่ได้แล้ว มึนสุดๆ เป็นพวกคออ่อน 55

สรุปให้ ถ้าใครอยากเก็บร้านของเชฟ 3 ดาวมิชลิน บินมาทานที่ดานังเลยครับ ใกล้เหมือนไปภูเก็ต

La Maison 1888 by Pierre Gagnaire นำเสนออาหารฝรั่งเศสฟิวชั่น มีกลิ่นอายแบบเวียดนาม ทานง่าย รสชาติดีมาก อยากให้มาลองกัน

KΔNT
KΔNT

อดีตผู้ประกาศข่าวสายเศรษฐกิจ เจ้าของเพจ KANT.CO.TH ชื่นชอบในไลฟ์สไตล์ การท่องเที่ยวพักผ่อน ในโรงแรมหรู สนใจเรื่องราวงานดีไซน์ อสังหา การตลาด การลงทุน