FUKUOKA – NORTH KYUSHU

FUKUOKA – NORTH KYUSHU

/

ญี่ปุ่นไม่ได้หมายความถึงแต่โตเกียว

และไม่ได้มีแค่โอซาก้า เกียวโต หรือฮอกไกโด ที่น่าไป

แต่ยังมีพื้นที่ตอนใต้ที่เป็นเมืองใหญ่อย่าง ฟุกุโอกะ (Fukuoka)

เป็นจังหวัดที่น่าสนใจ เมืองใหญ่ในเกาะคิวชู

เพราะความเจริญก้าวหน้าผสานกับวัฒนธรรมเก่าแก่ได้อย่างลงตัว

มีความสะดวกสบายแต่ก็ไม่อึดอัดแบบเมืองใหญ่

แถมอาหารทะเลที่นี่ยังทั้งสดและอุดมสมบูรณ์ ยั่วยวนชวนให้น่ามาชิม

ไม่แปลกเลยที่ฟุกุโอกะจะกลายเป็นจุดหมายที่น่าสนใจของคนที่ไปญี่ปุ่นอีกแห่ง

.

ฟุกุโอกะ มีความสำคัญในฐานะเมืองท่าอันเก่าแก่

อยู่ใกล้กับเกาหลีใต้ซึ่งเป็นแผ่นดินใหญ่

มีเมืองเล็กเมืองใหญ่น่าสนใจให้แวะไปเที่ยวหลายที่

.

แม้การคมนาคมจะไม่ได้สบอารมณ์เท่าโตเกียว

แต่เราก็ยังมีทางเลือกอื่น เช่นในทริปนี้

เราเลือก “เช่ารถขับ” เที่ยวไปกลับเป็นแบบวงกลม

เน้นเส้นทางคิวชูตอนเหนือเป็นหลักครับ

.

เริ่มต้นที่ฟุกุโอกะ ตรงฮากาตะ (Hakata)

ขับวนออกไปทางซากะ (Saga) ฉันจะคิดถึงเธอ

ลงไปทางนางาซากิ (Nagasaki) เมืองแห่งความสูญเสีย

เลี้ยวต่อไปทางโทสุ (Tosu) เพื่อเข้า Outlet 555

จากไปนั้นปักหลักที่เมืองแม่โออิตะ (Oita) เพื่อจะไปสัมผัสธรรมชาติ

ที่เบปปุ (Beppu) และ ยุฟุอิน (Yufuin)

เป็นอันสิ้นสุดทริปก่อนจะขับรถกลับไปคืนที่ฮากาตะเหมือนเดิม

จะช้อปป้งช้อปปิ้งก็เอาให้จบที่ตรงนี้นะ

.

ใช้เวลาทั้งหมด 6 วัน 5 คืน ก็น่าจะเพียงพอครับ

ช้อป ชม ชิม ชิลล์ พาไปครบหมดแบบอดไม่ได้ต้องปักหมุด

ที่สำคัญที่สุดอยากเน้นเรื่องกฎ กติกา มารยาทในการขับรถ

เพราะเชื่อขนมกินได้เลยว่า “เทรนด์นี้มาแน่นอน”

.

ถ้าพร้อมแล้วชวนไปขับรถเที่ยวเล่นกันใน “คิวชูตอนเหนือ” ครับ

#KantJourney#กานต์เดินทาง

#livelife#ออกไปใช้ชีวิต

#Fukuoka#NorthKyushu

#herschelsupply#4wifithailand

#NISSANRentaCar

การเดินทางในฟุกุโอกะ
ระบบคมนาคมหลักของที่นี่คือเส้นทางรถไฟ
เช่นเดียวกับทุกเมืองใหญ่ในญี่ปุ่น
รวมทั้งมีรถเมล์ คอยวิ่งให้บริการโดยทั่วไป
การเที่ยวฟุกุโอกะด้วยตัวเองจึงเป็นเรื่องที่สะดวกสบายมากครับ
นอกจากนี้ที่ฟุกุโอกะยังมีรถเช่าแบบเหมาวันให้บริการด้วย
ซึ่งจะสะดวกกว่าในด้านความคล่องตัวในการเดินทางไปตามที่ต่างๆ โดยเฉพาะในสถานที่เที่ยวในเขตที่อยู่ไกลจากตัวเมือง
.
ส่วนตัวผมเลือกเช่ารถจาก NISSAN Rent a Car ครับ
เพราะใกล้ที่พักดี
.
#KantJourney #กานต์เดินทาง
#livelife #ออกไปใช้ชีวิต
#Fukuoka #NorthKyushu
#herschelsupply #4wifithailand
#NISSANRentaCar

เตรียมอุปกรณ์ให้ครบครัน
โดยเฉพาะเครื่องมือทำมาหากินอย่างพวกอุปกรณ์กล้อง
ส่วนตัวผมมีกล้องอยู่ 4 ตัวที่ใช้คือ Nikon D850, Nikon DF ตัวนี้บอดี้สวย
มี SONY a7rii แล้วก็มีกล้อง GoPro คอยเก็บภาพบางมุม
แต่เดี๋ยวนี้เร่ิมใช้ Gimbal มาเสียบกับ iPhoneX ด้วย
เก็บทุกอย่างยัดใส่กระเป๋าเป้ใบใหม่ที่ไปถอยมาจาก Herschel Supply Co. แบรนด์กระเป๋าและแอคเซสซอรี่ระดับโลกจากแวนคูเวอร์ แคนาดา
ซึ่งผมเองก็เพิ่งรู้ว่าเค้ามี Flagship Store แล้ว ที่ Siam Center ชั้น 2
อ่าาาาา
แว๊บเข้าไปดู ช็อคเลยฮะ เพราะว่าของที่สาขานี้มีค่อนข้างครบทุกรุ่นทุกแบบทุกสี รุ่นที่หายากๆ เป็น exclusive ที่นี่มี
ผมเลือกรุ่นยอดฮิตอย่าง Herschel Little America™
เพราะชอบดีไซน์และขนาดที่ค่อนข้างใหญ่ ใส่ของได้หมดนี่เลยครับ
และที่สำคัญปิ๊งจากสี (เหลือง-น้ำเงิน) แมชต์กัน
สีประจำของเพจเรา ราวกับว่าเค้าทำมาเพื่อเราเฉพาะ เป็น limited edition
555 ว่าไปนั่น
ใครสนใจแวะไปชมได้นะครับ
ทริปหน้าผมก็ว่าจะไปถอยกระเป๋าเดินทางล้อลากอีกสักใบ
เห็นมีอยู่รุ่นหนึ่งดีไซน์เก๋ดี อยากได้ครับ
.
ดูรุ่นกระเป๋าเพิ่มเติมได้ที่ https://herschel.com
.
#KantJourney #กานต์เดินทาง
#livelife #ออกไปใช้ชีวิต
#Fukuoka #NorthKyushu
#HerschelSupply #HerschelThailand #WellTravelled

ที่ขาดไม่ได้คือ Pocket Wifi ครับ
ส่วนตัวแล้วคิดว่าคุ้ม เพราะผมเป็นคนใช้อินเตอร์เน็ตตลอดเวลา
และใช้ค่อนข้างเยอะ การเลือก Pocket Wifi จึงเป็นอะไรที่ลงตัวมาก
ไม่เดือดร้อนที่ต้องชาร์ต (เอาจริงผมว่าอยู่ได้ราว 10-12 ชั่วโมงนะ)
ซึ่งเพียงพอต่อการเที่ยวในหนึ่งวัน
กลับโรงแรมก็ค่อยไปเสียบชาร์ตกัน
ปัญหาที่น่ากลัวกว่าคือ เน็ตหมดครับ
ผมเคยใช้ซิมแล้วเน็ตหมด แล้วดันไปหลงอยู่ในหมู่บ้านอะไรสักที่ในญี่ปุ่น
เหมือนโดนตัดขาดจากโลกภายนอกเลยครับ
จากนั้นก็เข็ดเลย ต้องพก Pocket Wifi อุ่นใจที่สุด
โทรจองที่ 4G Pocket WiFi ตลอดลากกันไปยาวๆ จนจบทริป
ยิ่งขับรถเที่ยว ยิ่งจำเป็นต้องใช้ อาศัยสัญญาณที่เร็ว แรง ดี ไม่มีสะดุด
.
http://www.4gpocketwifi.com
โทร 02 105 4447
092 254 0077

#KantJourney #กานต์เดินทาง
#livelife #ออกไปใช้ชีวิต
#Fukuoka #NorthKyushu
#4gpocketwifi #4wifithailand

ก่อนเดินทาง อย่างน้อย 1 วัน
ให้กำเงิน 505 บาท ไปที่ขนส่งใกล้บ้านครับ
เอาเอกสารพวกสำเนาบัตรประชาชน ใบขับขี่ พาสปอร์ต
แล้วก็รูปถ่าย 2 นิ้ว ไปขอทำ “ใบอนุญาตขับขี่ระหว่างประเทศ” หรือใบขับขี่สากล
เพื่อจะได้เอาไปเช่ารถขับที่ต่างประเทศได้ครับ
ยื่นเอกสารแล้วรอไม่ได้ ก็จะได้เล่มสีขาวนี้กลับบ้าน
เป็นอันว่าเราสามารถขับรถที่ต่างประเทศได้ตามเงื่อนไขที่ระบุไว้ครับ

ใบขับขี่สากลมีอายุ 1 ปี

บิน Thai Airways การบินไทยรักคุณเท่าฟ้า
ไฟล์ทเวลาเที่ยงคืนครึ่งโดยประมาณ มาถึงที่สนามบินฟุกุโอกะ 8 โมงเช้า ผ่าน ตม. รอรับกระเป๋า
ที่นี่ใช้เวลาไม่นานครับเพราะว่าคนไม่เยอะ
แป๊บๆ ก็เสร็จแล้วครับ
.
เราจะยังไม่เช่ารถขับในวันนี้ เพราะจะเอากระเป๋าไปเก็บแล้วเที่ยวเล่น ช้อปปิ้งแถวเทนจิน ฮากาตะ กันก่อน เพราะว่าเมื่อคืนไม่ค่อยได้นอนจากบนเครื่อง
กลัวว่าขับรถแล้วจะเหนื่อยครับ อาจจะเกิดอันตรายได้
.
ป่ะ เดี๋ยวเราไปนั่งรถไฟเข้าเมืองกัน

สนามบินที่ฟุกุโอกะมี 2 เทอร์มินอลนะครับ
เราจะลงที่เทอร์มินอล อินเตอร์เนชั่นแนล
แต่!! เราจะต้องต่อรถชัตเติ้ลบัสภายในไปที่
เทอร์มินอลในประเทศครับ
เพื่อไปต่อรถไฟใต้ดิน
หน้าตารถเมล์เป็นแบบนี้ครับ ขึ้นฟรีไม่เสียค่าบริการ
นั่งประมาณไม่ถึง 10 นาทีครับ
ไม่ได้ไกลกันนะ …. แต่อ้อม!!

จากสนามบิน เราจะเอากระเป๋าไปเก็บที่โรงแรมกันก่อนครับ
เลือกพักที่ First Cabin 博多 – Gate’s เพราะว่าสะดวก สะอาด ใหม่และสบายเงินในกระเป๋าครับ
ที่นี่เป็นโรงแรมแคปซูลจะมีให้เลือก 2 แบบ
คือ Business Class จะเป็นกล่องแคปซูล อย่างเดียว ไม่มีพื้นที่อื่นไว้สัมภาระ
ส่วนถ้าใครเลือก Fisrt Class แบบผม ก็จะได้สเปซเพิ่มซึ่งส่วนตัวค่อนข้างชอบครับ เพราะเดินทางง่าย
จากสนามบิน ให้ใช้รถไฟ Subway สาย Koku Line สายเดียวถึงผ่าน 4 สถานีมาลงที่ “Nakasuwabata Station” ออก Exit 4 จะเห็นมีป้ายชื่อของโรงแรม แสดงว่ามาถูกทางแล้วครับ
โรงแรมอยู่ชั้นที่ 8 กดลิฟท์ขึ้นมาได้เลย
ด้านล่างมีซุปเปอร์มาร์เก็ต มีดองกี้ สะดวกดีต่อใจมากครับ

นั่งรถเมล์ไปกินราเมงข้อสอบ หรือ อิชิรัน ราเมง (Ichiran Ramen) 一蘭 道頓堀店本館 สาขาแรกต้นตำรับเลยครับ อยู่ที่เมืองฟุกุโอกะนี้เลย
.
Ichiran Ramen สาขา Nakasu นั้นจะเป็น Head Shop และเป็น Office ด้วย
รายละเอียดต่างๆ ก็เหมือนกับสาขาอื่นๆ ทั่วไปครับ
แต่ให้คะแนนฟีลลิ่งที่ได้มาสาขาต้นตำรับ มันก็จะอร่อยเป็นพิเศษ โดดเด่นเด้งด้วยความรู้สึกแบบตำนาน 555
เว่อร์ไปนะ

เสร็จจากมื้ออาหาร ก็ได้เวลามาตระเวนเดินเที่ยว
เนื่องจากเมืองมีขนาดไม่ใหญ่
เราใช้วิธีการเดินเที่ยว ก็ดูจะสะดวกดีนะครับ
ลากยาวตั้งแต่ ฮากาตะ คาเนล ซิตี้ ยัน เทนจิน
วันนี้มาลองไฟดูก่อนครับ ยังไม่ช้อป เพราะขี้เกียจแบก
เล็งเอาไว้ พอใกล้จะกลับแล้วค่อยเอาสิบล้อมาขน!!

วันที่สอง เช็คเอ้าท์ เราเริ่มเช่ารถครับ
เลือกรถของ Nissan Rent a Car
สามารถจองไว้ตั้งแต่ในเวปไซต์ได้เลยครับ
จะคืนที่สาขาหรือว่าที่อื่นก็ได้ (เสียค่าบริการเพิ่ม)
เอกสารที่สำคัญขาดไม่ได้คือใบขับขี่สากลและพาสปอร์ตครับ
แนะนำว่าเราซื้อประกันแบบเลิศที่สุดไปเลย
กลัวว่ามีปัญหาแล้วจะเคลียร์ยาก เนื่องจากคนที่นี่ไม่ค่อยพูดภาษาอังกฤษ
เช่ากี่วัน ออปชั่นเสริม มีอะไรบ้าง เค้าก็คิดตังค์ไปตามนั้น
จ่ายเงินก่อนถึงจะได้กุญแจมาครับ
.
อ่อ! อย่าลืมเช่าบัตรทางด่วน ETC มาด้วยนะครับ คล้ายๆ อีซี่พาสบ้านเรา แต่ที่นี่จะเป็นแบบใช้ก่อน แล้วค่อยจ่ายเงินตอนคืนรถทีเดียว

วันที่สอง เช็คเอ้าท์ เราเริ่มเช่ารถครับ
เลือกรถของ Nissan Rent a Car
สามารถจองไว้ตั้งแต่ในเวปไซต์ได้เลยครับ
จะคืนที่สาขาหรือว่าที่อื่นก็ได้ (เสียค่าบริการเพิ่ม)
เอกสารที่สำคัญขาดไม่ได้คือใบขับขี่สากลและพาสปอร์ตครับ
แนะนำว่าเราซื้อประกันแบบเลิศที่สุดไปเลย
กลัวว่ามีปัญหาแล้วจะเคลียร์ยาก เนื่องจากคนที่นี่ไม่ค่อยพูดภาษาอังกฤษ
เช่ากี่วัน ออปชั่นเสริม มีอะไรบ้าง เค้าก็คิดตังค์ไปตามนั้น
จ่ายเงินก่อนถึงจะได้กุญแจมาครับ
.
อ่อ! อย่าลืมเช่าบัตรทางด่วน ETC มาด้วยนะครับ คล้ายๆ อีซี่พาสบ้านเรา แต่ที่นี่จะเป็นแบบใช้ก่อน แล้วค่อยจ่ายเงินตอนคืนรถทีเดียว

ฟุกุโอกะ (福岡, Fukuoka) เป็นเมืองที่ใหญ่ของเกาะคิวชู (Kyushu) และใหญ่เป็นอันดับ 8 ของประเทศญี่ปุ่น
ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของประเทศ
ฟุกุโอกะเป็นเมืองท่าที่สำคัญของญี่ปุ่นมายาวนานหลายร้อยปี
เพราะว่าตั้งอยู่ใกล้กับเขตแผ่นดินใหญ่ที่สุด (อยู่ใกล้กับเมืองโซลของเกาหลีมากกว่าเกียวโตซะอีก)
อย่าแปลกใจหากป้ายบอกทางจะมีภาษาเกาหลีด้วย
ที่นี่จึงถูกเลือกเป็นจุดยกพลขึ้นบกของชาวมองโกลที่ต้องการจะมายึดญี่ปุ่นเมื่อประมาณช่วงปี 1300 ด้วย
ตัวเมืองฟุกุโอกะทุกวันนี้เป็นผลจากการรวมกันของเมืองท่าเก่า
ชื่อว่า Hakata รวมกับเมืองรอบปราสาทฟูกุโอกะ
โดย Hakata ยังคงเป็นชื่อเขตหนึ่งของ ฟุกุโอกะ และยังเป็นที่ตั้งของสถานีรถไฟสายหลักอีกด้วย
แม้จะมีความเจริญครบครัน แต่ฟุกุโอกะก็ยังมีบรรยากาศที่ดูสบายๆ ไม่อึดอัด ไม่เร่งรีบมากนักเหมือนกับเมืองอื่นๆของญี่ปุ่น
บรรยากาศ ผู้คนก็ดี อาหารทะเลที่นี่ทั้งสดและอุดมสมบูรณ์ ทำให้เมืองนี้ติดหนึ่งในเมืองที่น่าอยู่มากที่สุดในโลก

การขับรถในญี่ปุ่นจะแตกต่างจากการขับรถในเมืองไทยบ้านเราตรงที่คนเดินถนนจะเป็นใหญ่ครับ
ดังนั้นรถทุกคันต้องระมัดระวังหากมีคนข้ามถนน
ตามถนนต่างๆจะมีการกำหนดความเร็วเอาไว้ไม่สามารถทำความเร็วได้มากอย่างที่เราคุ้นเคยกันนะครับ
.
รูปแบบการขับรถญี่ปุ่นนั้นค่อนข้างจากคล้ายคลึงกับที่เมืองไทยครับเพราะว่ารถเป็นพวงมาลัยขวาเหมือนกันปกติก็จะวิ่งกันที่เลนซ้ายแล้วจะใช้การแซงขวา
.
นอกจากนี้การขับรถที่ญี่ปุ่นจะไม่มีเลี้ยวซ้ายผ่านตลอดเหมือนบ้านเรานะครับ ต้องรอสัญญาณไฟโดยเมื่อถึงสี่แยกไฟแดงรถที่จะเลี้ยวซ้ายสามารถไปได้เลยครับแต่ต้องระวังคนข้ามถนนด้านหน้า แต่ถ้าจะเลี้ยวขวาต้องรอจังหวะเวลาที่เหมาะสมให้ขับไปกลางทางแยกก่อนเลี้ยวขวาและต้องให้คนเดินข้ามถนนไปก่อน 

ตามถนนต่างๆ จะมีการกำหนดความเร็วเอาไว้ ไม่สามารถทำความเร็วได้มากอย่างที่เราคุ้นเคยกันนะครับ
มีกฎเกณฑ์เรื่องความเร็วดังต่อไปนี้ครับ
•ความเร็วช่วง 80 – 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงบนทางด่วน
•ความเร็ว 50 – 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมงในการขับรถบนถนนใหญ่ระหว่างเมือง
•ความเร็ว 40 กิโลเมตรต่อชั่วโมงในถนนเขตเมือง
•ความเร็ว 30 กิโลเมตรต่อชั่วโมงในถนนเส้นเล็ก ในชุมชนหรือทางแยกถนนใหญ่ครับ
ไม่ควรขับเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด
.
สิ่งสำคัญคือควรระมัดระวังการทำผิดกฎจราจรครับเพราะว่าค่าปรับจราจรที่ญี่ปุ่นนั้นถือว่าโหดร้ายมากอย่าง เช่นถ้าจอดรถในที่ห้ามจอดอาจจะโดนยกรถไปที่โรงพักและต้องจ่ายค่าปรับถึงประมาณ 50,000 เยนกันเลยทีเดียว

ช่วงที่ไปเป็นปลายซากุระของทางคิวชูครับ
มีให้เห็นบ้างประปราย พอให้กระชุ่มกระชวยหัวใจ

เรื่องที่จอดรถก็เป็นปัญหาใหญ่สำหรับประเทศเกาะนะครับ เนื่องจากพื้นที่มีจำกัด
.
ดังนั้น ค่าบริการที่จอดรถก็จะมีราคาสูงตามไปด้วย โดยเฉพาะในตัวเมืองใหญ่ หรือที่เป็นแหล่งชุมชน ที่จอดรถก็มักจะมีราคาแพงครับ ซึ่งการจอดรถนั้นมีการคิดค่าจอดในหลากหลายรูปแบบนะครับ ไม่ว่าจะเป็นคิดค่าบริการเป็นรายชั่วโมงหรือหลายครั้ง ดังนั้นต้องศึกษาเงื่อนไขของที่จอดรถให้ดี เพราะบางทีก็จอดฟรี (แต่ไม่ค่อยมี)
.
บางที่ก็เป็นที่จอดลักษณะเหมือนเป็นลิฟต์ขึ้นไปจอดบนตึกครับ ซึ่งก็ต้องขับรถเข้าไปจอดในช่องแล้วรถจะขึ้นไปเก็บด้านบนเอง แล้วเมื่อเราจะกลับ รถก็จะออกมาให้เราครับ
.
อีกแบบที่เรามักจะพบก็คือเป็นแบบไม้กั้นครับ ก่อนที่จะเข้าไปยังสถานที่จอดรถก็ต้องรับบัตรจอดรถกันก่อน พอจะออกจากที่จอดรถก็เสียบบัตรเข้าเครื่อง ตัวเครื่องจะแจ้งตัวเลขเงินที่ต้องจ่ายก็สามารถจะชำระเงินผ่านตู้ได้ทันทีครับ

มาถึงที่นางาซากิ กันแล้วครับ
สถานที่แรกที่ควรมาคือ พิพิธภัณฑ์ระเบิดปรมาณูนางาซากิ (Nagasaki Atomic Bomb Museum)
ผมชอบพรีเซนเทชั่นของทางเข้ามาก จะไล่เรียง คศ.ไปครับ
รูปนี้ถ่ายที่ คศ.1985 (มีความเด็กน้อย)

พิพิธภัณฑ์ระเบิดปรมาณูนางาซากิ(Nagasaki Atomic Bomb Museum) เป็นสถานที่จัดแสดงและรวบรวมข้อมูลเหตุการณ์ ซากชิ้นส่วนสิ่งของต่างๆ โดยเรียงลำดับเหตุการณ์ตั้งแต่ก่อนระเบิดปรมาณูลง จนถึงวินาทีแห่งความหายนะ ซึ่งมีหลักฐานที่ถูกวีดีโอบันทึกไว้ ภาพถ่ายอาคารบ้านเรือนที่พังยับเยิน ภาพผู้คนล้มตาย หรือผู้ที่รอดชีวิตแต่ต้องทนทุกข์ทรมานจากสารกัมตภาพรังสี เป็นโรคลูคีเมีย(มะเร็งเม็ดเลือดขาว) ที่ค่อยๆคร่าชีวิตผู้คนเหล่านั้นไปอีกจำนวนมาก

ภาพที่เห็นคือซากนาฬิกาจากมหาวิปโยคครั้งนั้น เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม ค.ศ.1945 เวลา 11.02 น. หรือ 3 วันให้หลังจากระเบิดปรมาณูได้ถูกทิ้งลงที่ฮิโรชิม่า ระเบิดปรมาณูได้ตกลงที่เขตอุรากามิ ในเมืองนางาซากิ คร่าชีวิตผู้คนกว่า 150,000 คน

ภายในพิพิธภัณฑ์แนะนำเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงอันน่าเศร้าสลดของผลกระทบจากระเบิดปรมาณู เรื่องราวก่อนที่ระเบิดจะถูกทิ้งลงมา สภาพการฟื้นฟูต่างๆ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ความน่ากลัวของอาวุธนิวเคลียร์ เป็นต้น เป็นอีกสถานที่ที่จะทำให้ทุกคนได้สัมผัสถึงความน่ากลัวของสงครามที่ลืมไม่ลง และความสำคัญของสันติภาพ และเป็นสิ่งเตือนใจให้ระลึกถึงความสูญเสียอันยิ่งใหญ่ ในวันที่นางาซากิโดนพิษร้ายของสารพลูโตเนียมไปเกือบทั้งเมือง

คืนนี้พักค้างกันที่เมืองนี้ครับ
เพราะกว่าจะมาถึงก็เย็นย่ำพอดี
มัวแต่แวะโน่นแวะนี่
กินจุบกินจิบ 555

เราวิ่งรถย้อนขึ้นมาโดยใช้ทางด่วนแล้วนะครับ (เพราะว่าเลือกเส้นทางจากเครื่อง GPS เป็นแล้ว 555)

ก็จะวิ่งจากนางาซากิผ่านซากะแล้วก็มาแวะจอดที่โทสุครับ เพื่อที่จะวนไปทางโออิตะ

สาเหตุที่ไม่ได้วนลงไปทางนางาซากิออกไปทางคุมาโมโต้เนื่องจากว่าเส้นทางนี้ต้องใช้เรือเฟอรี่ครับและที่สำคัญเราอยากผ่านโทสุ เพราะเหตุผลเดียวคือ Shopping ที่ Tosu Premium Outlets ครับ อิอิ

#ของมันต้องมี

จริงๆ แล้วที่คิวชู มี Outlet อยู่ 2 แห่งนะครับ คือที่ Tosu Premium Outlet ก็จะเป็นแบรนด์ของเมืองนอกซะเยอะ
เป็นแนว Hi Street เช่น Coach
เสื้อผ้าก็พวก Gap, Banana Republic และแบรนด์ของญี่ปุ่นทั่ว ๆ ไป Earth Music&Ecology
นอกจากนั้นก็พวกชุดกีฬา Nike Adidas Asics UM
ขาช้อปถ้ามีเวลาก็น่ามาเดินเล่นครับ
สามารถขับรถมาได้ หรือไม่ก็นั่งรถบัสจาก Hakata มาได้เลย ราวชั่วโมงนึงสะดวกดีครับ��
.
ส่วนอีกแห่งคือ マリノアシティ福岡/marinoa City Fukuoka Outlet ที่นี่จะใกล้หน่อย อยู่ในตัวเมือง
มีรถเมล์ผ่าน แต่สินค้าแบรนด์ไม่ค่อยน่าสนใจครับ
แต่บรรยากาศดี มีท่าเรือ มีมุมสวยๆ ให้ถ่ายรูปครับ

เสร็จจาก Tosu Premium Outlets ก็ขับรถต่อครับ ขับไปเรื่อยๆ ไม่ต้องรีบ ชมวิวกันไป (อันที่จริงคือทำความเร็วมากไม่ได้ครับ เดี๋ยวโดนซิว)
.
บรรยากาศ 2 ข้างทางสวย วิวเบื้องหน้าก็สวย
ข้อดีของการขับรถเที่ยวคือ หากเห็นที่ไหนสวย ก็สามารถขับรถจอดถ่ายรูปได้ครับ
อยากแวะไหนก็แวะ
ดังนั้น สายชิลล์ต้องไม่พลาดกาารมาลองขับรถเที่ยวในญี่ปุ่นนะครับ

มาถึง เบปปุ ก็ค่ำพอดี คืนนี้เก็บของเข้าโรงแรมแล้วออกมาเดินเล่นชมเมืองครับ

อากาศที่นี่เย็นสบาย เดินเล่นได้เรื่อยๆ ครับ
มีหอคอยเบปปุเป็นแลนด์มาร์ก
หอคอยที่นี่เก่าแก่เป็นอันดับที่ 3 และยังเป็น 1 ใน 6 หอคอยพี่น้องในประเทศญี่ปุ่นอีกด้วย ซึ่งมีความสูงที่ไม่มากมายเมื่อเทียบกับหอสูงและจุดชมวิวที่อื่นๆ ตรงจุดชมวิวจะสูงจากพื้นดินเพียง 55 เมตร และความยาวรวมทั้งหมด 90 เมตร

หอคอยเบปปุเป็นหนึ่งในหอคอยที่สร้างโดยไนโต ทะชู ผู้ออกแบบโตเกียวทาวเวอร์ ซัปโปโร่ทาวเวอร์ นาโกย่าทาวเวอร์

หนาวๆ แบบนี้ ต้องมีราเมงร้อนๆ สักชามครับ
ตั้งแต่มาอยู่ญี่ปุ่น ผมทานราเมงมาแล้วนับไม่ถ้วน
1 วัน ต้องมี 1 ชาม เพราะส่วนตัวเป็นคนชอบทานก๋วยเตี๋ยวอยู่แล้ว ยิ่งมาเจออากาศเย็นๆ
ขอน้ำร้อนมาลวกปากก่อนเลยครับ
ราเมงเจ้านี้ เดินผ่านแล้วออกแนวเซน
“ขายเหมือนไม่ขาย”
คนขายไปนอนร้องเพลงในรถ ไม่มีคนกินเลย
(อาจจะเพราะดึกแล้ว) และอากาศหนาวด้วยครับ
เป็นราเมงแนวเกาหลี มีใส่กิมจิด้วย
รสชาติแปลกดีครับ อยู่ตรง 4 แยกก่อนถึงหอคอยเบปปุ จากนั้นเลี้ยวซ้ายมานิดนึงครับ

ตื่นเช้ามามองจากระเบียงโรงแรมเป็นวิวนี้ครับ
เนื่องจากเบปปุตั้งอยู่ริมชายฝั่งทะเลตะวันออกของจังหวัดโออิตะ เป็นเมืองที่จะมาออนเซ็น มาอบทรายร้อนนอนมองวิวทะเลกันเพลินๆ ครับ

มาเริ่มตะลุยบ่อนรก (จิโกกุ) ที่เบปปุกันดีกว่าครับ
ที่นี่เป็นบ่อน้ำพุร้อนที่มีบ่อน้ำร้อนจากธรรมชาติมากที่สุดในประเทศญี่ปุ่น

ที่นักท่องเที่ยวสามารถดูได้ เช่น
•อูมิ จิโกกุ (ทะเลนรก) ที่น้ำพุมีสีน้ำทะเลสีฟ้า
•โคบอลต์, คามาโดะ จิโกกุ (เตานรก)
•ชิโนอิเกะ จิโกกุ (นรกเลือด) ซึ่งน้ำพุร้อนมีสีแดงคล้ายเลือดเต็มไปด้วยเหล็ก
•โอนิอิชิ โบซู จิโกกุ (นรกโคลน)
•ทัตสึมากิ จิโกกุ (นรกทอร์นาโด) เป็นบ่อน้ำพุร้อนจากใต้ดิน

บรรยากาศดี มีความร้อนพวยพุ่งตลอดเวลา
เมื่อมาตัดกับสีเขียวของป่าจึงทำให้เป็นภาพที่ออกมาสวยงามมากครับ

ชมบ่อน้ำพุร้อน
สลับกับการชมซากุระ

บ่อน้ำพุร้อนบ่อนี้ชื่อ “ทัตสึมากิ จิโกกุ” (Tatsumaki Jigoku) หรือ “น้ำพุนรก (Spout Water Hell)” มีความแปลกประหลาดตั้งแต่ทางเข้า

อ๊ะ มีเก้าอี้และมีแสตน์ให้นั่ง สักพักคนเริ่มมา

บ่อนี้มีความพิเศษอยู่อย่างหนึ่งคือ ต้องนั่งรอก่อนและรอชมเท่านั้น โดยน้ำพุร้อนจะพุ่งขึ้นมาเป็นเวลา โดยระยะห่างของแต่ละช่วงคือ 30-40 นาที และระยะเวลากระแสน้ำที่พุ่งขึ้นนั้น ประมาณ 6-10 นาที

พอน้ำเริ่มพุ่งขึ้นมา คนดูจะส่งเสียง โห่ กันใหญ่ เหมือนเอาใจช่วยน้ำพุ

พอน้ำพุพุ่งหมด … ก็แยกย้ายครับ

โดยรวมชอบบรรยากาศ ชอบธรรมชาติของที่เบปปุ มีความร่มรื่น มีออนเซ็น เน้นสุขภาพ มีความเขียวของป่า ฟ้าของน้ำ สวยงามสดชื่น อากาศดีครับ

เมื่อขับรถไปสักพักใหญ่ๆ สัญญาณเตือนว่าน้ำมันก็ใกล้จะหมดครับ แวะปั๊มกันก่อน

เราต้องถามพนักงานในร้านเช่ารถตั้งแต่แรกนะครับว่ารถของเราเติมน้ำมันอะไร แต่ส่วนใหญ่จะเป็นน้ำมันแบบเบนซินปกติครับ (Regular) ก็คือสีแดงครับ

ปั๊มน้ำมันก็จะพบอยู่ทั่วไปซึ่งก็จะมีทั้งแบบที่มีพนักงานเติมให้เหมือนกับที่บ้านเรา กับอีกแบบหนึ่งคือเป็นแบบบริการตัวเองครับ

อันนี้ต้องศึกษาให้ดีถ้าไม่เข้าใจก็สอบถามจากเจ้าหน้าที่ในปั๊มก่อนได้ครับ

ส่วนใหญ่ก็พูดแค่ว่า “FULL” เต็มถังกันไปเลย พนักงานก็จะเข้าใจ

ราคาน้ำมันตอนที่ผมเติมตกลิตรละ 154 เยนครับ (ประมาณ 47 บาท) ก็ถือว่าราคาแพงกว่าเมืองไทยพอสมควร สามารถจ่ายเป็นเงินสดหรือบัตรเครดิตก็ได้

มาถึง Yufuin ถิ่นน่ารัก
เมืองมีความกระจุ้งกระจิ้ง น่ารักน่าชัง
น่ามาถ่ายรูปแล้วกลับไปนอนที่อื่น
เพราะรีสอร์ทที่นี่มีน้อยและราคาค่อนข้างสูงครับ
มายุฟุอิน ต้องกิน “Yufu Mabushi Shin” ข้าวหน้าเนื้อย่างครับ
ร้านอยู่ใกล้กับบริเวณสถานียูฟุอิน (Yufuin Station) และอีกสาขาคือ สาขาที่ตั้งอยู่บริเวณทะเลสาบคินริน (Kinrin Lake)
.
ร้านนี้ถือได้ว่าเป็นร้านอาหารที่โด่งดังและยอดนิยมมากในยุฟุอิน คนเยอะทุกวัน ขายกันเป็นรอบ บางทีวัตถุดิบก็อาจจะหมดก่อนได้ ทำให้อดกิน ต้องรีบไป วันที่ไปต้องรอคิวประมาณ 30 นาที

มีเมนูหลักที่น่าสั่งเช่น Bungo-Gyu Mabushi (เนื้อวัว) แต่ถ้าใครไม่ทานเนื้อก็มี Yufuin Mabushi Unagi (ปลาไหล) และ Jidori Mabushi (เนื้อไก่)

จุดเด่นของร้านจะอยู่ที่การใช้วัตถุดิบที่มีอยู่ในท้องถิ่นนี้
มาประกอบอาหาร และนำเสิร์ฟด้วยหม้อดินเผา

วิธีการกินอาจะต้องทะเลาะกับเพื่อนร่วมโต๊ะก่อนว่า “กินยังไงวะ” เช่น คลุกเคล้าส่วนประกอบต่างๆให้เข้ากัน และเติมเครื่องปรุงงตามรสชาติที่ต้องการ

หรือจะทานควบคู่กับYuzu-Kocho (ซอสชนิดหนึ่งที่ทำจากมะนาวและพริก อร่อยดีผมซื้อแบบขวดกลับมาด้วย) มีผักต่างๆ และผักดอง

สุดท้ายลองเทดาชิ Dashi (น้ำซุป) ราดลงไป ก็จะกลายเป็นข้าวต้มญี่ปุ่นครับ

แต่ก็ไม่ต้องเครียดไปจนพาลจะทานไม่ลง เพราะทางร้านจะมีพนักงานคอยช่วยสอนวิธีการทานให้ถูกต้องและอร่อยครับ ที่สำคัญ ราคาก็สูงพอประมาณ แหะๆ

ข้อดีของการขับรถเที่ยวก็คือเราสามารถจะหยุดตามจุดต่างๆ ได้อย่างสบายใจอยากจะพักเท้า เข้าห้องน้ำ ซื้อขนม ทานข้าวหรือจะแวะถ่ายรูปยังจุดชมวิวก็สามารถทำได้อย่างสะดวกครับ
.
ขอซักรูปเป็นที่ระทึก เอ๊ยยย ระลึกนะครับ

จุดที่เราจอดรถอยู่นี้เป็นจุดชมวิวครับ อยู่เส้นที่กลับจากเบปปุเข้าสู่ฟุกุโอกะครับ จุดนี้เราสามารถมองเห็นถนนและภูเขาและเมืองในมุมสูงได้ก็เป็นอีกหนึ่งจุดที่น่าแวะมาถ่ายรูปนะครับ

กลับมาถึงที่ฮากาตะก็เป็นจังหวะที่ฝนตกพอดีครับ

เราคืนรถเสร็จก็เข้าไปเช็คอินยังที่พักเพื่อที่จะเก็บกระเป๋า
เราพักกันที่ Wing Internationnal Hakata Shinkansenguchi เป็นโรงแรมเปิดใหม่ ตกแต่งเก๋ไก๋ในราคาไม่แพง เดินไม่ไกลจากสถานีฮากาตะครับ
.
จากนั้นก็จะออกมาทานข้าวแล้วก็เดินเล่นครับ เรามีเวลาอยู่ที่นี่อีกหนึ่งคืนก่อนกลับเมืองไทย
.
เนื่องด้วยญี่ปุ่นเป็นประเทศเกาะครับ ดังนั้นก็ไม่ต้องแปลกใจว่าในบางครั้งของการเดินทางเรามักจะเจอฝนคนที่นี่เค้าชินไปแล้วครับ

วันนี้เรามาทานที่ร้านอาหารทะเลอิซากายะชื่อดังอย่าง Isomaru Suisan ร้านนี้มีสาขาทั่วญี่ปุ่นครับ เป็นร้านที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ในหมู่ชาวญี่ปุ่นและนักท่องเที่ยว

เมนูที่มาแล้วต้องสั่งก็คือมันปูย่างครับ รสชาตินั้นอร่อยมากครับ คลุกลงกับข้าวสวยญี่ปุ่นร้อนๆ แล้วทานได้เลยทันที นอกจากนี้อาหารทะเลก็ยังสดมากด้วยครับ

หลังจากคืนรถที่เช่ามาแล้ว
เราก็จะนั่งรถไฟเที่ยวกันบ้างครับ
มีสถานที่ 2-3 แห่งที่เราอยากไป หนึ่งในนั้นคือวัดนันโซอิน (Nanzoin Temple) ครับ เป็นวัดที่ยังไม่ค่อยมีคนรู้จักมากนัก แต่มีความสวยงามคือพระพุทธรูปทองคำสำริดขนาดใหญ่ อยู่บนเขา

การเดินทางนั่งรถไฟสาย JR Sasaguri Line จากสถานีฮากาตะ (Hakata) นั่งไปลงที่สถานี Kido Nanzoin-mae Station ใช้เวลาประมาณ 20 นาที แล้วเดินต่ออีกประมาณ 5 นาที

สถานที่ต่อมาอยู่ที่ดาไซฟุ (Dazaifu) ครับ เป็นศาลเจ้าเทนมานกุ (Dazaifu Tenmangu Shrine) เป็นศาลจ้าวเท็นมันกุที่มีชื่อเสียงที่สุดในญี่ปุ่นที่นี่คนนิยมมาขอพรเรื่องการศึกษา

แต่ว่าไฮไลท์อีกอย่างของการมาดาไซฟุก็คือการมาเช็กอินที่ร้าน Starbucks ซึ่งเป็นหนึ่งใน Starbucks ที่มีการออกแบบที่สวยที่สุดในโลกครับ

Starbucks ตั้งอยู่บนถนนคนเดินที่จะไปสู่ศาลเจ้า ด้วยทำเลและบริบทของสถานที่ทำให้ดีไซน์ของร้านสาขานี้ออกมาเป็นลักษณะของถ้ำใหญ่แมงมุมไม้ครับ

มีการตกแต่งที่โดดเด่นโดยใช้ไม้กว่า 2,000 ท่อนมาวางขัดกันในลักษณะของใยแมงมุม ซึ่งถ้าเราเอาไม้มาวางเรียงกันทั้งหมดจะยาวถึง 4.4 กิโลเมตรเลยทีเดียว

ร้านขนาดไม่ใหญ่มีพื้นที่โดยประมาณ 210 ตารางเมตรเท่านั้นเองครับ นับเป็นร้านStarbucks ที่น่าเข้าไปเช็กอิน เพียงแต่ต้องเบียดเสียดกับพี่จีนเค้าหน่อยนะครับ

นับว่าเป็นทริปที่ครบรถและครบรสจริงๆ ครับ
ทั้งรถยนต์ รถไฟ รถเมล์
แถมยังลุยฝนกันจนตัวเปียก เจอหมอกลงหนาในช่วงที่ขับรถกลางคืนแถวยุฟุอิน
เป็นประสบการณ์ที่สนุกสนานและฟินมากครับ

โดยสรุปแล้วฟุกุโอกะเป็นเมืองที่เที่ยวง่ายครับ
.
แม้จะไม่ศิวิไลเท่าโตเกียว แต่ก็ไม่ลำบากเกินไปนะในการที่จะมาลองใช้ชีวิตแบบเรียบง่าย (สไตล์คนญี่ปุ่น)
.
ส่วนตัวชอบธรรมชาติของที่นี่ มีความเขียวขจีของป่า มีทิวเขาที่สวยงาม มีทะเลและเกาะแก่งน้อยใหญ่
.
นับเป็นอีกหนึ่งทริปที่น่าสนใจและอยากให้มาตามรอยกันเยอะๆครับ
.
สุดท้ายนี้ถ้าชอบทริปนี้ รบกวนกดไลค์กดแชร์ให้ด้วยนะครับ

ได้เวลากลับบ้านแล้วครับ
/
เลือกภาพนี้มาปิดท้ายเพราะอยากให้เห็นถึง “ความเหมือนบนความต่าง” ครับ
.
ทุกคนบนโลกนี้ล้วนมีวิถีทางเป็นของตัวเองด้วยกันทั้งสิ้นครับ
.
ไม่ว่าคุณจะทำงานอะไร ยากดีมีจนแค่ไหน
แต่สุดท้ายสิ่งที่ทุกคนมีเหมือนกันก็คือ “ความเป็นมนุษย์”
.
จะเป็นปุถุชนคนทั่วๆ ไปหรือไฮซ้อไฮโซ สุดท้ายเราก็เกิดและตายบนผืนแผ่นดินเดียวกัน
.
แม้ว่าในแต่ละวัน “เราแทบจะไม่เคยมองหน้าหรือทักทายกันเลยก็ตาม”

KΔNT
KΔNT

อดีตผู้ประกาศข่าวสายเศรษฐกิจ เจ้าของเพจ KANT.CO.TH ชื่นชอบในไลฟ์สไตล์ การท่องเที่ยวพักผ่อน ในโรงแรมหรู สนใจเรื่องราวงานดีไซน์ อสังหา การตลาด การลงทุน