Ang Thong – Creative Tourism

เมื่ออาทิตย์ก่อนเพิ่งไป “อ่างทอง” มาครับ

สารภาพก่อนเลย

เคยคิดว่าอ่างทองเป็นเมืองรองที่ไม่ค่อยมีอะไร

ไปเที่ยวแค่สักครั้งเดียวก็พอเกินแล้ว

เคยไปมาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อ 2 ปีก่อน

ก็ไม่ค่อยมีอะไรที่น่าสนใจมากนัก

แต่เมื่อ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)

เชิญให้เข้าร่วมโปรเจค Creative District Thailand

และชวนลูกเพจวัย Silver Age ไปเที่ยวอ่างทอง

ก็เลยคิดว่าจังหวัดนี้ต้องมีอะไรดีที่เรายังไม่รู้อีกเยอะมาก

ซึ่งก็ถูกต้องเลยครับ

เพราะอ่างทองมีอีกหลายแง่มุมในลุ่มน้ำเจ้าพระยาที่น่าสนใจ

รอให้เราไปทักทาย ค้นหาและชวนเพื่อนๆ ไปเที่ยวกัน

โดยเฉพาะใครที่ชอบเที่ยวสายวิถีชุมชน ทำกิจกรรมสนุกสนาน

คุยกับชาวบ้านแบบกันเอง ได้ชื่นชมธรรมชาติ

ลองปรุงและชิมอาหารที่สะอาด รสชาติอร่อย

ผู้คนเป็นมิตร

แนะนำให้คิดเผื่อใจแวะไป “อ่างทอง”กันบ้างนะครับ

ทริปอ่างทอง (เมืองต้องเที่ยว – ผมเติมให้) ในครั้งนี้

เราไปเที่ยวในหลายๆ สถานที่เลยครับ

หลักๆ ก็คือไปเรียนรู้วิถีชุมชน บ้านทุ่งอ่างทอง Ban Thung Angthong

ไปลองสานตะกร้าผักตบชะวา

เอามาใส่ไข่เค็มที่ลองปั้นเองกับมือ (สูตรเด็ดซะด้วย)

แถมยังได้ทำผัดไทโบราณ อาหารขึ้นชื่อของเมืองอ่างทอง

ส่วนขนมไทย ได้ลองทำ “เกสรลำเจียก” จากร้านนิรมิต

ชื่อก็เพราะ เคาะขนมออกจากหม้อมาก็น่ารัก

ไปปลูกผักเรียนรู้ชีวิตเกษตรกร กับฟาร์มตัวอย่าง

กันที่ โครงการฟาร์มตัวอย่างตามพระราชดำริฯ หนองระหารจีน จ.อ่างทอง

ที่นี่ผักจากแปลงเกษตรอินทรีย์ถูกมากครับ

ถุงละ 10 บาท 15 บาท กวาดกันเรียบ!!

พาไปชมศูนย์ศึกษานิเวศวิทยาและชีววิทยาพืชกลุ่มเฟิร์น

ที่ “ตะนาวะสี เฟิร์น การ์เด้น”

ชมพันธุ์ไม้แปลกๆ

แถมยังได้ความรู้เรื่องการเกษตรมาเยอะเลยครับ

ส่วนมื้อกลางวันเราไปทานสเต๊กกับเมล่อน

กันที่ฟาร์มเกษตรอินทรีย์ อินทร์โตฟาร์ม Intofarm

เราสามารถเดินชมฟาร์มเมล่อนได้

ผมเองก็เพิ่งรู้วันนี้ว่าเมล่อนที่นี่ สด หวาน กรอบ อร่อย

และขายราคาถูกมาก กิโลกรัมละ 120 บาทเอง

จากนั้นก็ไปไหว้พระกันกับหลายวัดใหญ่ วัดดังของอ่างทอง

อาทิ วัดม่วง อ.วิเศษชัยชาญ จ.อ่างทอง สักการะองค์พระใหญ่

“พระพุทธมหานวมินทร์ศากยมุนีศรีวิเศษชัยชาญ”

วัดสังกระต่าย ชม unseen อ่างทอง

พบเศียรพระ และโบสถ์รอบต้นโพธิ์

ไปสักการะหลวงพ่อนุ่ม วัดนางในธัมมิการาม

จากนั้นก็เดินตลาดไม้โบราณที่ศาลเจ้าโรงทอง อำเภอวิเศษชัยชาญ

ซึ่งปัจจุบัน บรรยากาศแบบนี้หาดูได้ยากแล้วครับ

ปิดท้าย ไปไหว้หลวงปู่ทวดที่ โครงการพุทธอุทยานมหาราช

อยู่กม.ที่ 44 ค่อนมาทางอยุธยา เราสามารถแวะมาก่อนที่จะกลับกรุงเทพได้ครับ

ที่นี่มีตลาดให้เดินซื้อของฝาก มีร้านกาแฟให้นั่งพักสบายๆ

ลมพัดเย็นตลอดทั้งวันเพราะเป็นสระน้ำธรรมชาติร่มรื่นครับ

ทั้งหมดเป็นเพียงตัวอย่างไฮไลท์ที่คัดมา

ทำให้รู้ว่า “อ่างทอง” เป็นเมืองน่ารัก น่าเที่ยว

ไม่ใช่สิต้องบอกเรียกใหม่ว่า “อ่างทองเป็นเมืองต้องเที่ยว”

จากกรุงเทพมาราว 2 ชั่วโมง

เลี้ยวรถเข้ามาเล็กน้อยจากเส้นหลักบนถนนพหลโยธิน

เราก็จะฟินกับจังหวัดเล็กๆ อย่างอ่างทอง

ที่มีอะไรมากกว่าที่เราคิดครับ

ติดตามรายละเอียดการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ หรือ Creative Tourism “เที่ยวชุมชน ค้นหาแรงบันดาลใจ เติมประสบการณ์ใหม่ให้ ชีวิต”

อยากรู้จัก Creative Tourism เพิ่มเติม

เข้าไปดูกันได้ที่ www.creativedistrictthailand.com หรือ www.facebook.com/CreativeDistrictThailand

#creativetourism61 #localtravel #golocal #thailand #lovelocal #อ่างทอง #กานต์เดินทาง #KantJourney

อ่างทอง
เมืองต้องเที่ยว

ติดตามรายละเอียดการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ หรือ Creative Tourism “เที่ยวชุมชน ค้นหาแรงบันดาลใจ เติมประสบการณ์ใหม่ให้ ชีวิต”
อยากรู้จัก Creative Tourism เพิ่มเติม
เข้าไปดูกันได้ที่ www.creativedistrictthailand.com หรือ www.facebook.com/CreativeDistrictThailand

#creativetourism61#localtravel#golocal#thailand#lovelocal#อ่างทอง#กานต์เดินทาง#KantJourney

บ้านทุ่งอ่างทอง Ban Thung Angthong ของผู้ใหญ่จอย
ทุกคนที่บ้านให้การต้อนรับดีและอบอุ่นเป็นกันเองมาก
อยากได้อะไร หาให้ได้ทุกอย่าง
น้ำท่าอิ่มหนำสำราญ ได้งานได้การ ได้ความรู้

เรียนทำไข่เค็มสูตรเด็ด
ใช้นำไข่เค็มคัดขนาดพอเหมาะ ต้องใช้ไข่ที่สดใหม่ ไม่มีรอยแตกร้าว ทำความสะอาดด้วยการนำไปล้างถูขัดให้เปลือกไข่ขาวสะอาด

จากนั้น นำดินสอพองตำละเอียด 3 ส่วน ผสมกับน้ำคลุกเคล้าให้เข้ากัน ไม่ให้ข้นหนืดจนเกินไป หมักทิ้งไว้ เพื่อให้ดินสอพองเข้ากันกับน้ำจนอิ่มตัว จากนั้นนำเกลือ 1 ส่วน ลงผสมกับดินสอพองที่หมักเตรียมไว้คลุกเคล้าให้เข้ากันอีกครั้ง

นำไข่เป็ดลงคลุกกับดินสอพองหนาราว 1 มิลลิเมตร จากนั้นนำไข่ไปคลุกกับขี้เถ้าแกลบให้ทั่ว ให้ขี้เถ้าแกลบเกาะผิวไข่หนาราว 2 มิลลิเมตร ถึงจะนำไข่ที่ได้ ลงกล่องบรรจุภัณฑ์ ใช้เวลาหมักไข่ทั้งหมด 3 – 7 วัน จะเป็น ไข่ดาว ไข่เจียว ไข่ตุ๋น โดยไม่ต้องปรุงรสด้วยน้ำปลาอีก

ส่วนถ้าไข่เค็มให้หมักนาน 7 – 20 วัน หลังจากนั้นนำไปต้มจนสุก จะได้ไข่เค็มสุก ให้รสชาติอร่อย เค็มพอดี ไข่แดงมันเยิ้ม มีความหอมนวล

อยากรู้เคล็ดลับมากกว่านี้
ต้องมาเรียนด้วยตัวเองที่ บ้านทุ่งอ่างทอง Ban Thung Angthong ครับ

บ้านทุ่งอ่างทอง
Farm to Table
เรียนทำผัดไท
แถมผู้ใหญ่ใจดี จัดส้มตำปูปลาร้า มาอีกถาดใหญ่
แซ่บอีหลีตั๋ว

ฟังเจ้าบ้านเล่าความเป็นมาเป็นไป
ก็ทึ่งและแฟ้มบุคคลขอปรบมือให้
ในความรู้ความสามารถและความพยายามที่มี
การทำเกษตรไม่ใช่เรื่องง่ายแต่ก็ไม่ยากเกินไป
ขอเพียงมีใจรัก อดทน ไม่ท้อถอย
ปลูกด้วยรัก

แอบเข้าครัวส่วนตัว
มาเยี่ยมบ้านผู้ใหญ่จอย คนใจดี

เรียนสานตะกร้าจากผักตบชวา
สานเสร็จจะได้ตะกร้าใส่ไข่เค็มที่เราหมักเองกลับบ้านไปด้วย

ม่ามี้ที่แสนน่ารัก
สาวสวยซุปเปอร์สตาร์ประจำทริป
กำลังผัดไทให้เราทาน
คนอยู่ที่บ้านยังไม่มีโอกาสชิมฝีมือเลยคิดดู

กับข้าวบ้านๆ
พอทานได้ไหมครับ
ชอบน้ำพริกถ้วยเด็ด
ที่มาพร้อมผักแนมริมรั้ว
ราดกะทิสดๆ มาด้วย
หอมหวานมากครับ

แวะมาชมศูนย์พัฒนาชุมชน
กลุ่มจักสานผักตบชวา บ้านบางตาแผ่น

ก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ.2532 มีสมาชิกเริ่มต้น 14 คน
เริ่มต้นจากการทำตะกร้าจากหวายและไม้ไผ่ ซึ่งหายากและมีราคาสูง
ต่อมาได้เปลี่ยนเป็นการจักสานกระเป๋าผักตบชวา จนปัจจุบันนี้ได้รับความนิยมและมียอดการสั่งซื้อเป็นจำนวนมาก

ที่เห็นอยู่นี้คือมีเจ้าของหมดแล้ว
ออร์เดอร์เพียบ ทั้งส่งขายในไทยและส่งออกเมืองนอก
งานถูกและดีครับ
อยากได้เป็นเจ้าของ โทรไปสั่งจองที่คุณป้าปราณีก่อนนะครับ โทร 035-613769, 08-9900-3474

มาทานอาหารที่ร้านนิรมิต
แวะชมการสาธิต ทำขนม “เกสรลำเจียก”
เป็นขนมขึ้นชื่อของวิเศษชัยชาญ จังหวัดอ่างทอง
ด้วยรสชาติที่หอมหวานกลมกล่อม
ตัวแป้งเหนี่ยวนุ่ม ไส้มะพร้าวหวานกำลังดี ทำให้เกสรลำเจียกกลายเป็นขนมประจำจังหวัดในที่สุด

ขนมเกสรลำเจียก
เป็นขนมพื้นบ้านที่เป็นเอกลักษณ์ ของจังหวัดอ่างทอง
ทำจากแป้งข้าวเหนียวผสมน้ำกะทิ
ร่อนผ่านตะแรงลงในกะทะร้อนๆ เป็นแผ่นบาง
ม้วนใส่ไส้มะพร้าวขูด กวนกับน้ำตาล
ต้องรับประทานตอนร้อนๆ
เนื้อแป้งจะนุ่มลิ้น รสชาติหวาน หอมกลิ่นใบเตย
สามารถสั่งซื้อได้ที่ร้านนิรมิต โทร 081-852-4777

เที่ยวตามรอยพ่อ ในหลวงรัชกาลที่9 ในด้านการเกษตร แหล่งเรียนรู้ปรัชญาเกษตรพอเพียง กับโครงการตามแนวพระราชดำริแห่งแรกของจังหวัดอ่างทอง ณ โครงการตามแนวพระราชดำริ หนองระหารจีน จังหวัดอ่างทอง

เมื่อเข้ามาในพื้นที่
จะได้พบกับแหล่งเพาะปลูกพืชผักต่างๆ แบบปลอดสารพิษ
ที่คุณลุง คุณป้า ที่เป็นเกษตรกรในที่อยู่ใกล้ๆ
ได้เข้ามาทำการเกษตรตั้งแต่ปลูก เตรียมแปลง เก็บเกี่ยว และเตรียมส่งสู่ตลาด
ที่นี่ยังเปิดเป็นห้องเรียนธรรมชาติที่ให้นักท่องเที่ยวได้เรียนรู้ถึงกระบวนการด้านการเกษตรต่างๆ
ไม่ว่าจะเป็นการปลูกผักสลัดแบบไฮโดรโปนิค , การเพาะถั่วงอกแบบคอนโด การเพาะเห็ดชนิดต่างๆ และการเลี้ยงแพะแบบธรรมชาติ
อีกทั้งยังมีสินค้าจากแปลงปลูกสด ใหม่ราคาถูกจำหน่าย ไว้ให้เราได้ซื้อกลับบ้านกันด้วย

มองไปทางไหนก็มีแต่สีเขียวสบายตา
เต็มไปด้วยคนงานกำลังปลูกผัก
เพื่อให้เป็นแหล่งผลิตอาหารที่ปลอดภัยจากสารพิษให้ประชาชนในพื้นที่ทั่วไปโดยไม่เน้นผลกำไร

แปลงเห็ดที่เพาะเองในโซนโรงเห็ด
ผลผลิตดีมีจำหน่ายตลอดทั้งปีครับ

ชาวคณะของเราได้ลองฉีดน้ำเพื่อชะล้างหมวกถั่วงอก
ก่อนจะฝานเอารากออกแล้วล้างให้สะอาด

ปั่นจักรยานชมไร่
ออกกำลังกายไปด้วยในตัว

โครงการฟาร์มตัวอย่างฯ ตั้งอยู่บริเวณหนองระหารจีน หมู่ที่ 1 ตำบลบ้านอิฐ อำเภอเมืองอ่างทอง จังหวัดอ่างทอง เดินทางจากถนนสายเอเชีย เลี้ยวซ้ายเข้าตัวเมืองอ่างทอง ประมาณ 200 เมตร เลี้ยวซ้ายเข้าทางวัดจันทรังษี ตรงไป 500 เมตร ที่เปิดทุกวัน ตั้งแต่เวลา 08.00 – 16.30 น. หรือติดต่อสอบถามการเข้าชม หรือการเข้าเยี่ยมชมแบบหมู่คณะ ได้ที่ คุณสมชาย เบอร์โทรศัพท์ 093-004 7188

ตะนาวะสีเฟิร์นการ์เด้นท์ เป็น สวนเฟิร์นแห่งแรกของประเทศไทย ที่ใครมาก็ต่างมหัศจรรย์กับสายพันธุ์ที่แปลกตาจากทุกมุมโลกกว่า 500 สายพันธุ์ นอกจากนั้นยังได้รวมรวมพืชพรรณธรรมชาติอันทรงคุณค่า หายากและจะใกล้สูญพันธุ์ นานาชนิดไว้อีกมากมายหลายชนิด

ตะนาวะสี ถือเป็นฟาร์มขนาดใหญ่ที่เพาะพันธุ์เฟิร์นโดยตรง

คุณลุงนพดล เจ้าของฟาร์ม ได้ทุ่มเทกำลังแรงกาย แรงใจ รวมถึงกำลังเงินเนรมิต ฟาร์มแห่งนี้ได้มีความสวยงาม และสร้างบรรยากาศโดยรอบให้มีความชื้นตลอดเวลา เพื่อให้เหมาะสมกับการเพาะและขยายพันธุ์เฟิร์น โดยวิธีทางธรรมชาติ เมื่อลูกค้านำไปเลี้ยงที่บ้านเฟิร์นมีการปรับตัวบ้าง ก็สามารถอยู่รอดได้

คุณลุงได้เล่าถึงแรงบันดาลใจที่ทำให้มีกำลังและรุกขึ้นยื่นได้อย่างทุกวันนี้ มาจากเมื่อได้มีโอกาสรับเสด็จสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ และนำเฟิร์นต้นหนึ่ง ซึ่งรอดพ้นจากการถูกน้ำท่วมมาถวายพระองค์ พระองค์ทรงชื่นชอบและให้ความสนพระทัยมาก พร้อมกับประทานกำลังใจทำให้เราทั้งสองคนมีแรงสู้ต่อมาจนถึงทุกวันนี้

สนใจสอบถามรายละเอียดของศูนย์ศึกษานิเวศวิทยาและชีววิทยาพืชกลุ่มเฟิร์น โทร. 081-858-4863 

ต้อนรับผู้มาเยือนที่สนใจเรื่องการเกษตร
โดยเฉพาะการปลูกเมล่อนที่ อินทร์โตฟาร์ม Intofarm
ด้วยรถไถที่แดงที่กลายเป็น Signature

จาก 3 โรงเรือนของ อินทร์โตฟาร์ม ในช่วงเริ่มแรก ที่เกิดจากความตั้งใจจะสร้างจุดให้พักผ่อนให้กับลูกค้าที่แวะเวียนมาหา

แม้ว่าจะไม่เคยมีความรู้เรื่องเมล่อนมาก่อน แต่เจ้าของสวนผู้น่ารักอย่าง “น้องอิน” ก็ต้องไปเรียนกับฟาร์มเมล่อนเพื่อหาความรู้ ก่อนจะลงมือทำจริงเลยอาศัยการลองผิดลองถูก ใช้เวลาไม่นานก็รู้จักและเข้าใจเมล่อนเป็นอย่างดี ปัจจุบันนี้มีสิบกว่าสายพันธุ์กับ 40 โรงเรือน

“เราเริ่มจากความรักพอรักแล้วเราเลยรู้สึกว่าอะไรก็ง่ายไปหมด แค่ได้เห็นเมล่อนของเราก็มีความสุขแล้ว”

น้องอิน บอก

รสชาติเมล่อนของฟาร์มนี้มีความหวาน หอม ชื่นใจ ลูกใหญ่ เนื้อแน่น
เท่านั้นยังไม่พอครับ ของทานเล่นที่นี่ยังมีไอศกรีมโฮมเมดเมล่อนให้ชิม มีน้ำเมล่อนปั่น แสนอร่อย สั่
หวานน้อยหรือไม่เติมน้ำตาลจะดีที่สุด

สายเกาก็ยังมีบิงซูเมล่อน ไว้ให้บริการ
ส่วนใครสายทาน แนะนำเสต็กหมูจิ้มแจ่วเลยครับ
รับรองว่าเด็ดมาก

วัดม่วงแห่งนี้อยู่ที่อำเภอวิเศษชัยชาญห่างจากอำเภอเมืองอ่างทองมาแค่ 8 กิโลเมตร

ภายในวัดแห่งนี้จะเต็มไปด้วยสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่น่าสักการบูชามากมาย

สิ่งที่เห็นเด่นชัดอีกอย่างก็คือ “พระพุทธมหานวมินทรศากยมุณี ศรีวิเศษชัยชาญ” เป็นพุทธรูปที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก หน้าตักกว้าง 63 เมตร สูง 95 เมตร ใช้งบประมาณในการสร้างกว่า 50 ล้านบาท มีองค์จำลองประดิษฐานอยู่ด้านล่างให้ได้สักการบูชา ในส่วนของด้านหน้านั้นได้ทำเป็นบันไดสูง ที่มีพญานาคเลื้อยเป็นราวบันไดบริเวณตรงกลาง ด้านซ้ายและด้านขวาของตัวบันได ซึ่งความเชื่ออย่างหนึ่งก็คือหากได้มาแตะที่นิ้วของพระพุทธรูปนี้จะมีความเป็นสิริมงคลกับชีวิต

นอกจากนี้ในวัดยังมีสวนนรก สวรรค์ แบบจำลองตัวละครในวรรณคดีไทยหลายเรื่อง จัดแสดงไว้ในสวนอันร่มรื่น โดยมีป้ายคำสอนต่างๆ ที่เหมาะแก่การพาบุตรหลานมาเที่ยวชม เพื่อปลูกฝังให้รู้จักการละเว้นความชั่วทำแต่ความดีเป็นอย่างยิ่ง

ส่วนอุโบสถฐานบัวรอบก็มีความสวยงามไม่แพ้กันเป็นพระอุโบสถที่ล้อมรอบด้วยกลีบบัวสีชมพูขนาดใหญ่มาก สวยงามน่าประทับใจสุดๆ

ที่สำคัญอย่าลืมเข้าไปกราบพระภายในพระวิหารแก้วรัตนพราหมณ์-สุวรรณปาล กันด้วยนะครับ

บรรยากาศภายในพระวิหารแก้ว
ที่มีการประดับประดาด้วยกระจก
ทำให้เกิดมิติของภาพที่สลับซับซ้อน
งดงามเป็นอย่างมากครับ

ก่อนขึ้นรถกลับ อย่าลืมแวะซื้อมีดสักด้าม
เขาว่ามีดแถวนี้ คมดีนักแล

อีกหนึ่งจุดสำคัญ มุมถ่ายภาพจากด้านข้าง ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นจุดเก็บบภาพสำคัญ ของทุกคนที่ไปวัดม่วง ต้องแวะเก็บภาพขององค์พระมุมนี้ ไม่ไกลกันมีร้านกาแฟเล็กๆ แต่วิวดี ชื่อ ร้านกาแฟ “มะขาม คาเฟ่”

ถ้าหากใครมีโอกาสมาเที่ยวที่จังหวัดอ่างทอง ก็อย่าลืมแวะเวียนมานมัสการองค์หลวงพ่อใหญ่กันนะครับ

วัดสังกระต่าย เป็นวัดที่มีคนรู้จักน้อยมาก แม้แต่คนอ่างทองเองยังไม่ค่อยจะรู้จักเลย เพราะตัววัดได้รับการบูรณะ ปัดกวาด ให้สะอาดเรียบร้อยไม่กี่ปีนี้เอง

ที่ผ่านมาทางวัดสังกระต่ายก็โดนน้ำท่วมหนักมาหลายครั้ง น่าเห็นใจพอสมควรเลยครับ

วัดสังกระต่ายเป็นวัดที่ไม่มีพระสงฆ์จำวัดอยู่ ผู้ดูแลวัดนี้ก็คือชาวบ้านรอบๆวัด ช่วยกันดูแลความเรียบร้อย

ความน่าสนใจของวัดสังกระต่ายคือ ความมหัศจรรย์ของต้นโพธิ์ 4 ต้นที่แยกกันคนละมุม 4 มุม ของโบสถ์ เพื่อช่วยกันโอมล้อมโบสถ์เอาไว้ และรากไม้ของต้นโพธิ์ก็ช่วยพยุงโครงสร้างของโบสถ์ไว้เพื่อไม่ให้พัง มีกิ่งและใบของต้นโพธิ์แทนหลังคา เพราะโบสถ์นี้ไม่มี หลังคา เนื่องจากพังไปตามกาลเวลา

มองจากด้านข้างของโบสถ์ จะเห็นรอยแตกร้าวของอิฐมอญ ซึ่งดูจากสภาพอิฐแล้ว คาดว่าตัววัดมีอายุไม่น้อยเลยทีเดียว ภายในโบสถ์ประดิษฐานองค์พระ 3 รูป องค์กลาง คือพลวงพ่อมั่งมี องค์ซ้ายมือ คือ หลวงพ่อศรี ส่วนองค์ขวา คือหลวงพ่อสุข

รูปหล่อ “หลวงพ่อนุ่ม” วัดนางในธัมมิการาม อำเภอวิเศษชัยชาญ ยอดเกจิชื่อดัง เมืองวิเศษชัยชาญ พระนักพัฒนาแหล่งรวมศรัทธาประชาชน ถึงหลวงพ่อท่านจะมรณภาพผ่านไปหลายปีแล้ว ประชาชนยังคงศรัทธากราบไหว้ขอพรรูปหล่อหลองพ่อนุ่มอยู่อย่างต่อเนื่อง รวมถึงได้บนบานศาลกล่าว ด้วยเครื่องดื่มน้ำอัดลมตามกำลังทรัพย์ หากสมหวังดังปรารถนา ก็จะนำมาทำการแก้บน โดยมีจำนวนประชาชนกราบไหว้เพิ่มมากขึ้นทุกวัน บางรายนำน้ำอัดลมมาแก้บนทีเดียวนับหมื่นขวด จนตอนนี้เกือบเต็มศาลาการเปรียญที่ประดิษฐานรูปหล่อหลวงพ่อนุ่มแล้ว

ติดกับวัดนางใน คือตลาดศาลเจ้าโรงทอง ตลาดไม้โบราณ อายุนับร้อยปี ที่นี่เป็นตลาดที่เต็มไปด้วยความมีชีวิต มีสีสันมาร่วมกว่า 100 ปีแล้ว ด้วยสายสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นของคนไทย และ จีน จึงทำให้วิถีชีวิตของผู้คนที่นี่เป็นไปอย่างถ้อยทีถ้อยอาศัย

กาแฟที่ชงแบบโบราณ กับบรรยากาศร้านสุดคลาสสิค

ภายในตลาดยังคงความเป็นอดีตได้อย่างครบถ้วน ทั้งร้านรวงต่างๆ บ้านบางหลังอายุมากกว่าเราเสียอีก มีทั้งร้านขนมสูตรโบราณให้ได้เลือกชิม สีสันของวัฒนธรรมไทย-จีนที่ผสมผสานกันอย่างลงตัว

เดินเข้าไปด้านในสุดของตลาดจะมีศาลเจ้าให้สักการะภายใน เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ

เหตุที่ต้องมีศาลเจ้า ก็เพราะเดิมทีคนจีนโพ้นทะเล อพยพเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารประกอบสัมมาชีพในแผ่นดินสยาม บางส่วนก็มาปักหลักอยู่ในแขวงเมืองวิเศษชัยชาญเมื่อปี 2420 ตรงกับปีฉลู หนึ่งในหัวหน้าคณะ คือ นายสิ่งฮะ แซ่ฉั่ว ชักชวนชาวจีนที่มาตั้งถิ่นฐานอยู่ในชุมชนศาลเจ้าโรงทอง ร่วมกันก่อตั้งศาลเจ้าขึ้นที่ริมแม่น้ำน้อย ไว้เป็นที่ประดิษฐานเทพเจ้าทุกองค์ที่คนจีนโพ้นทะเลเคารพนับถือ ศาลเจ้าที่นี่จึงอิงศิลปะจีนที่สวยงามมาก

โครงการ “พุทธอุทยานมหาราชหลวงปู่ทวด” ตั้งอยู่บนถนนสายเอเชีย บริเวณหลัก กม.ที่ 44 บนรอยต่อของอำเภอบางปะหันและอำเภอมหาราช จังหวัดพระนครศรีอยุธยาต่อเนื่องกับอำเภอป่าโมกและอำเภอเมือง จังหวัดอ่างทอง ซึ่งเป็นพื้นที่ประวัติศาสตร์เส้นทางเดินทัพของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช จึงได้ชื่อว่า”พุทธอุทยานมหาราช”

หลวงปู่ทวดองค์นี้น่าจะมีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกขณะนี้ โดยมีขนาดหน้าตักกว้าง 24 เมตร ความสูงรวมฐาน 51 เมตร สร้างจากปูนหุ้มสัมฤทธิ์เคลือบสีทองสว่างทั้งองค์ ตั้งอยู่กลางทุ่งมองเห็นได้แต่ไกลทีเดียว

เมื่อจอดรถเสร็จแล้ว สามารถเดินเข้ามาด้านในตลาดจะผ่านร้านค้าของกินมากมาย จนมาถึงตัวอาคารหลัก 2 หลังที่อยู่ด้านหน้าสระน้ำ สวยงามและโดดเด่นมากครับ

มองตรงไปจากระหว่างตัวอาคารก็จะเห็นองค์หลวงปู่ทวดพอดี

อ่างทองจึงเป็นจังหวัดต้องเที่ยว
เพราะมีหลากหลายเรื่องราวที่น่าสนใจ
โดยเฉพาะกิจกรรมที่คนวัย Silver Age หรือแม้แต่วัยรุ่นทั่วไปก็ยังสนใจ สนุกและอยากเข้าร่วมกิจกรรม
ต้องขอบคุณ ททท(การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย) ที่ชวนมาร่วมโครงการนี้

ดีใจและขอบคุณแทนผู้เข้าร่วมทริปทุกท่านด้วยครับ

KΔNT
KΔNT

อดีตผู้ประกาศข่าวสายเศรษฐกิจ เจ้าของเพจ KANT.CO.TH ชื่นชอบในไลฟ์สไตล์ การท่องเที่ยวพักผ่อน ในโรงแรมหรู สนใจเรื่องราวงานดีไซน์ อสังหา การตลาด การลงทุน